‘Constant Connectivity’ หรือ การเชื่อมต่อออนไลน์ตลอดเวลา กลายเป็นข้ออ้างที่หัวหน้างานหรือเจ้าของธุรกิจใช้ติดต่อพนักงานนอกเวลางานจนกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว ที่บอกว่าเป็นเรื่องปกติ ไม่ได้หมายความว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้อง เพียงแต่เป็นสิ่งที่ทำกันในวงกว้างจนเห็นกันเป็นเรื่องปกติมากกว่าที่เจ้านายไลน์มา “อยู่ไหน ตอบไลน์หน่อย” หรือ “ส่งงานไปทางอีเมลนะ เช็คด้วย” ทั้งๆ ที่เวลานั้นล่วงเลยเวลางานมานานโขแล้ว (บางทีตีสองตีสามก็มี) ซึ่งช่วงเวลานั้นคือเวลาพักผ่อนส่วนตัว
การไม่ตอบไลน์ ไม่รับสายโทรศัพท์ ไม่อ่านอีเมลนอกเวลางาน บอกเลยว่าไม่ใช่เรื่องผิดครับ แม้ว่าหัวหน้าของคุณอาจจะไม่พอใจที่พยายามติดต่อ แต่คุณกลับเลือกที่จะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เราอาจจะเคยได้ยินคำศัพท์ที่เรียกว่า ‘Ghosting’ หรือการหยุดสื่อสารกับใครสักคนโดยสิ้นเชิง ปกติแล้วเมื่อก่อนจะได้ยินคำนี้ใช้กับความสัมพันธ์ระหว่างหนุ่มสาวหรือเพื่อน แต่ตอนนี้เริ่มเห็น ‘Ghosting in work’ หรือหยุดสื่อสารเรื่องงานอย่างสิ้นเชิงมากขึ้นเรื่อยๆ
สิ่งที่เราน่าจะเห็นตรงกันคือ การ Ghosting ในความสัมพันธ์แบบหนุ่มสาวหรือเพื่อนนั้นไม่สมควรทำสักเท่าไร (อย่างน้อยๆ ก็ควรกล่าวลาสักนิด) แต่สำหรับในบริบทของการทำงาน โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่งานนั้นมีไม่รู้จบ เต็มไปด้วยความเครียด กลับมาที่บ้านก็มีความรับผิดชอบส่วนตัวที่ต้องทำ ใช้เวลากับครอบครัว คนรัก ภรรยา สามี ลูก พ่อแม่ หรือกับตัวเอง การไม่ติดต่อกับเพื่อนร่วมงาน หัวหน้า หรือลูกค้า ไม่ใช่แค่สิ่งที่น่าทำ แต่เป็นสิ่งที่ควรทำเลยด้วยซ้ำ
คาล นิวพอร์ต (Cal Newport) ศาสตราจารย์ด้านวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์และผู้เขียนหนังสือ A World Without Email: Reimagining Work in an Age of Communication Overload แนะนำว่า เราควร ‘ตัดขาด’ ตัวเองออกมาเลย เพราะเมื่อเราต้องตัดสินใจอยู่ตลอดเวลา ไม่มีเวลาพักหรือมีเวลาได้คิด จะทำให้เราเข้าสู่สภาวะ ‘Cognative Overload’ หรือภาวะที่มีข้อมูลมากจนเกินไป จนทำให้เราประมวลข้อมูลผิดพลาด สับสน ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ และสภาวะจิตใจอยู่ภายใต้ความกดดันที่มากเกินไป จนอาจจะก่อให้เกิดอาการของภาวะซึมเศร้าได้เลยทีเดียว
สำหรับคนขี้เกรงใจ อาจจะรู้สึกว่าการไม่สนใจข้อความที่เด้งเข้ามาทางไลน์ อีเมล หรือ เฟซบุ๊ก นั้นดูไม่ค่อยสุภาพหรือเปล่า ต้องบอกแบบนี้ก่อนว่าหน้าที่หรือความรับผิดชอบเก่ียวกับงานที่อยู่นอกเหนือเวลางาน คุณไม่จำเป็นที่จะต้องทำ เมื่อโทรศัพท์ดังนอกเวลางาน มันไม่ใช่ภาระหน้าที่ผูกพันที่คุณจะต้องยกหูรับสาย แน่นอนว่าคุณอาจจะเป็นคนขี้เกรงใจ เป็นคนดี มีความรับผิดชอบ แต่คุณก็ไม่จำเป็นที่ต้องมอบเวลาอันมีค่าและความสนใจให้กับทุกคนหรือทุกอย่างเลยถ้าคุณไม่อยากทำ
แน่นอนว่าสำหรับคนที่เป็นฝ่ายติดต่อไปหาคนอื่นนอกเวลางาน การถูกเมินเฉยหรือไม่สนใจนั้นก็ทำให้รู้สึกไม่ดีได้ โดยเฉพาะเมื่อเรามีเรื่องเร่งด่วนที่หัวหน้าต้องตัดสินใจ หรือเพื่อนร่วมงานที่ทำงานไม่เรียบร้อยและเราต้องตามเก็บกวาด แต่ต้องเข้าใจว่านี่เป็นงานและต้องมองในความเป็นจริงว่าทุกคนก็มีหน้าที่ความรับผิดชอบเช่นเดียวกัน บางอย่างที่รอได้ควรจะรอ บางอย่างที่ตัดสินใจได้ก็ตัดสินใจไปก่อน อาจจะมีส่งข้อความไปซ้ำอีกรอบ แต่อันไหนที่ทำอะไรไม่ได้ ก็ต้องเข้าใจว่านี่คือไม่ใช่ช่วงเวลางานแล้ว
ในยุคที่เราเริ่มเข้าใจความสำคัญของช่วงเวลาพักผ่อนและวางหน้าจอลง การตัดขาดกับเทคโนโลยีจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยทำให้พักผ่อนอย่างแท้จริงและมีความสำคัญที่ดีกับคนที่อยู่ในชีวิตของเรา ตอนไปเที่ยว ตอนหลังหกโมงเย็น ตอนนั่งทานข้าวกับลูก ตอนใช้เวลากับภรรยา สามี พ่อแม่ ครอบครัว ตอนออกกำลังกาย ตอนที่คุณกำลังอ่านหนังสือ ตอนที่คุณใช้เวลากับตัวเอง แล้วจู่ๆ มีไลน์เด้งเข้ามา “อยู่ไหนอะ? ว่างไหม พอดีมีงานด่วน” จากหัวหน้า ก็ไม่ต้องไปคิดมาก ไม่ต้องขอโทษด้วย จะตอบก็ได้ถ้าอยากตอบ แต่ถ้าไม่ตอบ… ก็ไม่ต้องตอบ แค่นั้นอย่าไปสนใจ
แต่อีกเรื่องที่ต้องเข้าใจคือ การปิดกั้นตัวเองและเงียบใส่เพื่อนร่วมงานหรือหัวหน้าก็ไม่ควรเป็นการขัดขวางการทำงานของทีมอีกเช่นกัน สิ่งที่ควรทำคือการวางกรอบการทำงานที่ชัดเจน อาจจะบอกทีมไว้เลยก็ได้ว่าจะตอบข้อความจนถึงเมื่อไร เรื่องไหนที่คุณอยากรู้ หรือเรื่องไหนที่คนอื่นสามารถตัดสินใจได้เลยโดยไม่มีคุณ อาจจะสร้างอีเมลสำหรับตอบอัตโนมัติเมื่ออยู่นอกเหนือเวลางาน และแน่นอนว่าควรมีใครสักคนที่คุณเชื่อว่าจะติดต่อคุณก็ต่อเมื่อ ‘จำเป็น’ จริงๆ และบอกวิธีติดต่อไว้ให้พวกเขาด้วย
สิ่งที่ต้องถามตัวเองอีกอย่างคือ ใครกันแน่เป็นคนที่กดดันให้เราตอบข้อความเหล่านั้น? บางทีอาจจะไม่ใช่คนส่ง แต่อาจจะเป็นตัวเราเองหรือเปล่า? เพราะฉะนั้นบางทีอาจจะถึงเวลาที่หยุดกดดันตัวเองได้แล้วที่จะต้องตอบข้อความตลอดเวลา และปล่อยให้ตัวเองได้พักอย่างจริงจังนอกเวลางานได้แล้ว
แหล่งที่มา https://www.gqthailand.com/views/article/ghosted-at-work