ทุกวันนี้เทคโนโลยีทำให้ประชากรทั่วโลกขาดความเป็นส่วนตัวหรือไม่? หากย้อนกลับมามองในประเทศไทยเอง คำถามนี้ยังเป็นข้อถกเถียงในสังคมลึกๆ ยังไม่มีใครออกมาปกป้องสิทธิของตนเองอย่างจริงจัง เนื่องจากปัจจุบันคนเราต้องอาศัยเทคโนโลยีเข้ามาอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวันอย่างปฏิเสธไม่ได้

     ง่ายๆ แค่คุณกดสั่งอาหาร นั่นหมายความว่า คุณยินยอมให้แอปพลิเคชั่นสั่งอาหารเข้าถึงข้อมูลส่วนตัว อย่างหมายเลขโทรศัพท์และโลเกชั่นที่ถูกปักหมุดอันเป็นที่อยู่แน่นอน ซึ่งดูเหมือนเป็นเรื่องปกติที่ใครๆ ก็จำเป็นต้องทำ และไม่ทันตระหนักว่าหมายเลขโทรศัพท์ส่วนตัวที่ลงทะเบียนในแอปพลิเคชั่นต่างๆ นั้น ถูกกระจายไปยังที่ใดบ้าง นี่ยังไม่รวมถึงหมายเลขบัญชีและบัตรเครดิตที่อำนวยความสะดวกสบายในสังคมไร้เงินสด (Cashless) 

     ปี 2018 สหภาพยุโรปเริ่มบังคับใช้กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล หรือ General Data Protection Regulation (GDPR) แทนที่กฎหมายเดิม หรือ EU Data Protection Directive ซึ่ง GDPR มุ่งประเด็นไปที่บริษัทธุรกิจที่จัดเก็บและให้บริการข้อมูลส่วนบุคคลของพลเมืองสหภาพยุโรป จะต้องเพิ่มมาตรการปกป้องข้อมูลต่างๆ ให้ปลอดภัยและเป็นส่วนตัว โดยในตัวบทกฎหมายระบุว่า ข้อมูลส่วนบุคคลเหล่านี้จะไม่สามารถนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์ได้ (หากไม่ได้รับความยินยอมจากบุคคลซึ่งเป็นเจ้าของข้อมูล) หากมีการละเมิด บริษัทนั้นจะต้องถูกปรับเป็นจำนวนเงินมหาศาล ที่สำคัญกฎหมายนี้จะมีผลบังคับใช้ปกป้องข้อมูลพลเมืองสหภาพยุโรปไม่ว่าจะอยู่ที่ใดในโลกก็ตาม (สามารถดูรายละเอียดกฎหมายได้ที่เว็บไซต์ www.eugdpr.org)

 ในขณะที่สหภาพยุโรปให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัว (Privacy) อย่างจริงจัง ส่วนในบ้านเรากำลังปวดหัวกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ระบาด (หนัก) กลับมีคนจำนวนไม่น้อยมองเป็นเรื่องบันเทิงในการรู้เท่าทันกลุ่มมิจฉาชีพ ไม่ว่าจะเป็นวิธีตอบโต้ หรือออกซิงเกิล โดยที่ประชาชนจำนวนไม่น้อย ยังต้องอยู่ในภาวะตื่นกลัวตลอดเวลา กับการต้องรับสายเบอร์โทรศัพท์แปลกๆ อย่างจำยอม บางคนบอกว่าก็แค่ไม่โอนเงิน ก็แค่ไม่รับเบอร์โทรฯ แปลกๆ แต่เราเคยรู้หรือไม่ว่า ทำไมคนถึงตกเป็นเหยื่อง่ายขนาดนั้น

     1. ผู้ที่เป็นหนี้บัตรเครดิต หรือหนี้เสียของสถาบันการเงินอยู่แล้ว สำหรับบุคคลที่เป็นหนี้บัตรเครดิตหรือสถาบันการเงินคงรู้ดีว่า จะมีการโทรฯ แจ้งหนี้และเสนอปรับโครงสร้างหนี้เพื่อไม่ให้ถูกฟ้องร้อง ซึ่งคนที่เป็นหนี้อยู่แล้ว ก็ไม่สามารถแยกแยะภายในตอนนั้นได้ว่า สายที่โทรฯ เข้ามาคือสถาบันการเงินที่ตนเองเป็นหนี้อยู่จริง หรือเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์กันแน่

     2. การอ้างว่ามีพัสดุผิดกฎหมายแก่ผู้รับ ทำไมประชาชนจึงตื่นตระหนกเมื่อมีการโทรฯ แจ้งว่ามีพัสดุผิดกฎหมาย? ย้อนกลับมาดูไลฟ์สไตล์ในปัจจุบันที่คนเราหันมาช็อปปิ้งออนไลน์ทั้งในประเทศหรือต่างประเทศมากขึ้น การรับโทรศัพท์จากบริษัทนำส่งพัสดุต่างๆ วันละหลายครั้ง จึงเหมือนเป็นเรื่องปกติ เหล่ามิจฉาชีพเลยนำความคุ้นเคยเหล่านี้เข้ามาหลอกลวง ล่อเหยื่อโดยอ้างว่ามีพัสดุผิดกฎหมาย หากไม่ชำระเงินอาจจะถูกดำเนินคดีถึงขั้นจำคุกกันเลยทีเดียว

     สิ่งนี้ไม่ใช่แค่ข่าวชาวบ้าน แล้วแก้ปัญหาด้วยการตีตราหน้าผู้โอนเงินว่า ‘ไม่ฉลาด’ แค่ ‘อย่าโอน’ แต่จงตั้งคำถามว่า ข้อมูลส่วนตัวนั้น กลุ่มมิจฉาชีพทั้งหลายนำข้อมูลส่วนตัวของเรามาจากไหน และนำไปใช้ได้อย่างไร

Privacy Is More Important Than Security 
ความเป็นส่วนตัวสำคัญมากกว่าความปลอดภัยมากแค่ไหน?

     เมื่อพูดถึงความเป็นส่วนตัวหรือข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy) และความปลอดภัยหรือการปกป้องข้อมูล (Security) นั้นไม่ใช่เรื่องเก่าหรือเรื่องใหม่ แต่เป็นเรื่องที่เข้ามามีบทบาทต่อการใช้ชีวิตประจำวันของคนเราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 

     ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเราเปิดบัญชีธนาคารแห่งหนึ่ง จำเป็นที่จะต้องให้ข้อมูลส่วนตัวต่อเจ้าหน้าที่ธนาคาร ไม่ว่าจะเป็นบัตรประชาชน ที่อยู่ สถานที่ทำงาน อีเมล และหมายเลขโทรศัพท์ ซึ่งธนาคารจะทำการบันทึกข้อมูลส่วนตัวไว้ในเซิร์ฟเวอร์โดยไม่ถูกละเมิดใดๆ (แต่น่าแปลกหรือไม่? หลังจากเปิดบัญชีแล้ว วันต่อมามักจะมีบริษัทประกันโทรฯ มาหาคุณโดยอัตโนมัติ) 

     เรื่องความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยนั้น ไม่ใช่แค่การให้ข้อมูลพื้นฐานซึ่งจะนำไปสู่การขายของธุรกิจบริการต่างๆ แต่เมื่อเรานำข้อมูลส่วนตัวสู่โลกไซเบอร์ด้วยตนเอง หรือการให้ข้อมูลแบบจำยอมนั้น ยังเป็นปัญหาที่เราต้องการคำตอบในระดับชาติ หากยังจำกันได้ ในการประกวดมิสยูนิเวิร์ส 2019 ณ นครแอตแลนตา รัฐจอร์เจีย สหรัฐอเมริกา สตีฟ ฮาร์วีย์ (Steve Harvey) ผู้ดำเนินรายการได้ถามคำถามในรอบ 5 คนสุดท้ายต่อตัวแทนประเทศไทย ซึ่งก็คือฟ้าใส-ปวีณสุดา ดรูอิ้น ว่า 

     “Government surveillance is used to keep many nations and their people safe. But some believe this invades our right to privacy. What is more important to you, privacy or security?” – “การสอดส่องของรัฐบาลในหลายประเทศ เพื่อรักษาความปลอดภัยของประชาชนของพวกเขา แต่บางคนเชื่อว่ามาตรการดังกล่าวเป็นการรุกล้ำสิทธิความเป็นส่วนตัว คุณคิดว่า ‘ความเป็นส่วนตัว’ หรือ ‘ความปลอดภัย’ อะไรมีความสำคัญกว่ากัน?” ซึ่งหลายคนคงยังจำคำตอบของฟ้าใสได้ว่า เธอตอบอย่างเป็นกลาง ประนีประนอม ไม่เลือกข้างใดข้างหนึ่ง เนื่องจากประเด็นนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนและยากที่จะตอบไม่ให้เกิดปัญหาระหว่างประเทศได้

     คริสตอฟ มูซิโอล (Christoph Muziol) ที่ปรึกษาการวางแผนเชิงกลยุทธ์และการพัฒนานโยบายระดับนานาชาติ (International Programme & Development Manager) กล่าวกับ GQ ประเทศไทย ว่า

     “Privacy is what you don’t want other to know and security is the way to defend our privacy.” – “ความเป็นส่วนตัวคือสิ่งที่คนเราไม่ต้องการให้คนอื่นรู้ และการรักษาความปลอดภัยนั้นต้องเป็นวิธีการปกป้องตัวเราด้วย” 

     มูซิโอลยังแสดงความคิดเห็นถึงข้อมูลส่วนตัวที่บุคคลทั่วไปจำเป็นต้องมอบให้แก่สถาบันการเงินโดยปกติว่า

     “ทุกคนหวงความเป็นส่วนตัว แต่เราปฏิเสธไม่ได้ว่าในการทำธุรกรรมต่างๆ เช่น คุณต้องใส่ที่อยู่ เบอร์โทรฯ ติดต่อให้แก่ธนาคาร ตรงนี้จำเป็นมากสำหรับประชาชน เพื่อแสดงตัวตนว่าคุณเป็นใคร คุณสามารถถอนเงินได้หรือไม่ สังเกตดูสิ หากมีเรื่องฉุกเฉินที่คุณต้องใช้เงินเยอะๆ แล้วไปกดออกมา ธนาคารจะรีบอายัดบัญชีคุณทันที เพื่อป้องกันมิจฉาชีพหรือบัตรถูกขโมยไป อีกทั้งคุณยังสามารถแสดงตัวอายัดการใช้จ่ายทันที ตรงนี้สำคัญมาก นี่คือชีวิตประจำวันทั่วไปนะ

     “แต่ที่ไม่จำเป็นคือการแชตและรูปภาพส่วนตัว อย่างที่เยอรมันเราจะไม่ลงรูปซี้ซั้ว ยิ่งพ่อแม่ที่มีลูก เราจะไม่ลงรูปเด็ก ที่นี่มีกฎหมายคุ้มครองความเป็นส่วนตัวของเด็กๆ ถ้าอยากลงรูปในโซเชียล เช่น เฟซบุ๊ก หรืออินสตาแกรม เราต้องแน่ใจว่าโอเคลงได้ ปลอดภัย ไม่มีความลับหรืออะไรล่อแหลม ผมเข้าใจว่าทุกวันนี้คนเราสามารถหาเงินผ่านโซเชียลฯ แต่เราต้องแยกระหว่างอาชีพกับความเป็นส่วนตัว” เขายังกล่าวอีกว่า จริงๆ แล้วความเป็นส่วนตัวนั้นสำคัญ แต่ก็ต้องเปิดเผยเฉพาะเมื่อจำเป็น ส่วนความปลอดภัยนั้นสำคัญกว่ามาก ต้องเริ่มจากที่ตัวเราด้วยว่า การให้ข้อมูลส่วนตัวควรจะทำที่ใดบ้าง

     “ผมว่าเฟซบุ๊กคือแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่คอยแต่จะขายข้อมูลของคุณ ดังนั้นพวกเขาต้องมีการควบคุมและถูกตรวจสอบอย่างเข้มงวดจากรัฐบาล ผมเองก็ไม่ชอบให้ใครมารู้เรื่องส่วนตัวของผม เช่น ชีวิตส่วนตัวหรืออาชีพ

     “ดังนั้นภาครัฐต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าหน่วยงานทั้งหมดที่จัดการข้อมูลส่วนตัวของประชาชน ควรใช้กระบวนการทางเทคโนโลยีที่ดีที่สุดและขั้นตอนการบริหารเพื่อรักษาความปลอดภัยของข้อมูล โดยการออกกฎหมายและดำเนินการ และต้องเป็นกฎหมายที่เหมาะสมในประเทศของตนเองอีกด้วย อย่าลืมว่าไลฟ์สไตล์ของคนแต่ละประเทศต่างกันครับ คนยุโรปอาจจะไม่ค่อยให้ความสำคัญบนโลกโซเชียลมีเดียเท่าไหร่ ปีหนึ่งจะลงรูปสักครั้ง (หัวเราะ) แต่คนไทยเป็นคนเฟรนด์ลี สนุกสนาน ชอบพูดคุยและสื่อสาร ซึ่งตรงนี้คือเสน่ห์ แต่ก็ต้องระวังเรื่องความเป็นส่วนตัวด้วย อย่างน้อยความปลอดภัยก็ควรเริ่มจากตนเองก่อน” มูซิโอลกล่าวทิ้งท้าย

Zero Trust โมเดลใหม่ที่สร้างความปลอดภัยจาก Work from Home

     สถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ยังมีแนวโน้มว่าจะอยู่กับมนุษย์ต่อไปโดยไม่ทราบจุดสิ้นสุดที่แน่ชัด ดังนั้นคนส่วนใหญ่ยังต้องอยู่กับการทำงานจากบ้าน หรือ Work from Home ซึ่งกลายเป็นวิถีการทำงานรูปแบบใหม่ในยุคนิวนอร์มอล แล้วจะมีเทคโนโลยีอะไรมาสร้างความปลอดภัยให้กับการทำงานนอกองค์กร 

     สถาปัตยกรรมด้านความมั่นคงปลอดภัย หรือ Zero Trust Architecture ยึดหลักแนวคิดในการกำจัดความเชื่อใจให้ถูกนำมาใช้ในหลายๆ มิติ เนื่องจากภัยไซเบอร์มีการพัฒนารูปแบบใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา ยิ่งการทำงานจากที่ใดก็ได้ในปัจจุบันทำให้ต้องสร้างความระมัดระวังด้านความปลอดภัยในอุปกรณ์เครื่องมือต่างๆ ในการทำงาน 

     อย่างที่เรารู้กันว่าสถานการณ์โควิดนั้นทำให้คนทำงานตื่นภัยไซเบอร์อย่างมาก เพราะหลายองค์กรจำเป็นต้องให้คนทำงานจากบ้านหรือระยะไกล และต้องมีสิ่งอำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้งานเข้าถึงเครือข่ายได้จากหลายสถานที่ตั้ง สามารถใช้อุปกรณ์และการเชื่อมต่อได้หลายประเภท เช่น คอมพิวเตอร์ สมาร์ตโฟน แท็บเล็ต ฯลฯ ซึ่งเป็นสาเหตุให้ทุกคนต้องเข้าถึงแอปพลิเคชั่นต่างๆ และค้นแหล่งข้อมูลจากทั่วโลกไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม นี่จึงเป็นตัวแปรสำคัญที่ต้องกำหนดขอบเขตการเฝ้าระวังภัยไซเบอร์ที่จะเข้ามาล่วงล้ำความเป็นส่วนตัว หากไม่มีความปลอดภัยเพียงพอในขณะที่ผู้ใช้งานทำงานแบบออนไลน์ ก็อาจถูกลอบโจมตีจากโจรไซเบอร์ได้ง่ายๆ

Search Engine ระดับโลกเตรียมรับมือแฮกเกอร์

     ปี 2021 ศุนทัร ปิจไช (Sundar Pichai) ซีอีโอของกูเกิล (Google) ประกาศทุ่มเงินก้อนใหญ่เพื่อสร้างความมั่นคงทางไซเบอร์ หลังจากได้พูดคุยกับโจ ไบเดน (Joe Biden) ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนปัจจุบัน ซึ่งประกาศให้ความแข็งแกร่งและยกระดับความปลอดภัยทางไซเบอร์เป็นอีกหนึ่งในนโยบายหลักเพื่อสร้างมั่นคงของประเทศ

     กูเกิลเปิดเผยว่า การพัฒนาซอฟต์แวร์ที่ผ่านมานั้นใช้ซอฟต์แวร์โอเพนซอร์ซ (Open Source) ในโครงสร้างพื้นฐานและระบบรักษาความปลอดภัยระดับนานาชาติ ซึ่งไม่มีข้อกำหนดหรือมาตรการรักษาความปลอดภัยที่ชัดเจน จึงควรจะเพิ่มความปลอดภัยในส่วนนี้ ดังนั้นกูเกิลจึงวางแผนทุ่มเงินจำนวน 1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อแก้ไขช่องโหว่ของซอฟต์แวร์ประเภทดังกล่าว และทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้เหล่าแฮกเกอร์เข้ามาล้วงข้อมูลด้านการทำงาน ความเป็นส่วนตัว รวมถึงสร้างความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูล

     นอกจากนี้ กูเกิลยังวางแผนกระตุ้นองค์กรของรัฐ เพื่อพัฒนาระบบความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ให้ทันกับยุคสมัย โดยใช้ระบบ Zero Trust Computing ซึ่งระบบนี้จะไม่เชื่อบุคคลหรืออุปกรณ์การเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวโดยทันที เราจะเห็นได้ว่า ปัจจุบันได้มีการตรวจสอบ เช่น การขอรหัส OTP (One Time Password) สามารถใช้ได้เพียงครั้งเดียวต่อการเข้าสู่ระบบหนึ่งครั้ง หรือส่งรหัสไปยังอีเมลส่วนตัวที่เราได้ลงทะเบียนไว้ จึงช่วยให้เครือข่าย Zero Trust แข็งแกร่งมากขึ้น

การสร้างความปลอดภัยในองค์กร

     ความเตรียมพร้อมในการทำงานจากที่ใดก็ได้ สำหรับคนที่ผ่านประสบการณ์ Work from Home มาเกือบ 3 ปีแล้ว จะเห็นว่าฝ่ายไอทีค่อนข้างให้ความสำคัญในเรื่องความปลอดภัยของผู้ใช้งานและแชร์ข้อมูลของระบบต่างๆ ในองค์กร เช่น

     การเพิ่มความปลอดภัยเชิงลึกภายในองค์กร (Micro Segmentation) เป็นการแบ่งประเภทของทราฟฟิกตามลักษณะของแอปพลิเคชั่น เพื่อประสิทธิภาพการใช้งาน และความต้องการด้านความมั่นคงปลอดภัย เมื่อพื้นที่ปลอดภัยได้รับการแบ่งเป็นสัดส่วนแล้ว ไฟร์วอลล์ (Firewall) หรือฟิลเตอร์ (Filter) จะสร้างกำแพงกั้นรอบๆ โซนเหล่านั้น และปกป้องเครือข่ายที่เหลือให้ปลอดภัยต่อไป นอกจากนี้ยังมีการจัดการสิทธิ์เข้าถึงทรัพยากรให้น้อยที่สุด (Least-Privilege Access) โดยจำกัดหรืออนุญาตให้ผู้ใช้และอุปกรณ์เข้าถึงเฉพาะทรัพยากรที่จำเป็นต่อการปฏิบัติหน้าที่เท่านั้น เช่น การเข้าถึงโดยอีเมลขององค์กร การเข้าถึงไฟล์สำคัญโดยแจ้งรหัส OTP ซึ่งการเข้าถึงสิทธิ์น้อยที่สุด จะช่วยลดจำนวนอุปกรณ์ที่จะเข้าถึงทรัพยากรต่างๆ ลง

     ทั้งนี้ การพัฒนาของเทคโนโลยีที่รวดเร็ว ล้วนไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อความทันสมัยให้ดูโก้เก๋เท่านั้น แต่ค่อยๆ พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ เพื่อตอบสนองและเอื้อต่อชีวิตประจำวันที่เปลี่ยนไป จะเห็นได้ว่าสถานการณ์โรคระบาดไวรัสโคโรนา 2019 คือตัวอย่างชัดเจนที่คนเราต้องหันมาพึ่งพาเทคโนโลยีมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการรักษาโรค หรือแม้กระทั่งเยียวยาจิตใจผ่านการสื่อสารซึ่งกันและกัน ช่วยประคับประคองให้สามารถฝ่าวิกฤติต่างๆ ไปได้อย่างรวดเร็วที่สุด

Generation Mute วัฒนธรรมไร้เสียงที่มาพร้อมกับเทคโนโลยี

     ทุกวันนี้คุณเคยสำรวจจำนวนแอปพลิเคชั่นในสมาร์ตโฟนของตนเองหรือไม่? ด้วยการสื่อสาร ทำงาน ทำธุรกรรม และเสพสื่อบันเทิงต่างๆ ผ่านโทรศัพท์มือถือและแท็บเล็ตขนาดเล็ก เสียงแจ้งเตือนหรือ Notification ดังขึ้นสม่ำเสมออย่างควบคุมไม่ได้ ดังนั้นเราจะสังเกตว่า ปัจจุบันคนทำงานยุคใหม่นิยมปิดเสียงแจ้งเตือนเกือบทุกแอปพลิเคชั่น หรือแม้กระทั่งปิดเสียงริงโทน หรือเสียงเรียกเข้า ที่เคยได้รับความนิยมในยุคหนึ่ง

     ทำไมริงโทนจึงตกยุคอย่างรวดเร็ว ทั้งที่ในยุค 1990-2000 กระแสดาวน์โหลดเสียงเรียกเข้าด้วยเพลงฮิตจากค่ายดังต่างๆ นั้นทำรายได้มหาศาล ต่อมาเมื่อสมาร์ตโฟนได้ถูกพัฒนาแบบก้าวกระโดด คนตั้งแต่เจนซี (Gen Z) ขึ้นมายังเจนเอ็กซ์ (Gen X) ต่างหันมาสนทนากันด้วยการพิมพ์ข้อความผ่านแอปพลิเคชั่นเป็นหลัก ซึ่งเมื่อผนวกเข้ากับการทำงานผ่านโทรศัพท์มือถือ จึงตัดเสียงเรียกเข้า-ออกเพื่อความสะดวกสบายในการทำงานและสื่อสารโดยไร้เสียงรบกวนเข้ามาขัดจังหวะทั้งตัวเองและคนรอบข้าง นักวิจัยเรียกคนกลุ่มนี้ว่า ‘Generation Mute’ ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะปัจจุบันคนรุ่นใหม่ใช้เวลาอยู่หน้าจอโทรศัพท์มือถือแทบจะตลอดเวลา เมื่อมีสายโทรฯ เข้าก็เห็นอยู่ดี จึงไม่จำเป็นต้องมีเสียงเรียกเข้าสุดฮิตแบบยุคเดิม 

     ถ้าจะบอกว่าการปิดเสียงโทรศัพท์ไม่ใช่เรื่องใหม่ล่ะ! ในประเทศญี่ปุ่นนั้นเคร่งเรื่องมารยาทในที่สาธารณะอย่างมาก หากใครเคยโดยสารรถไฟเราจะสังเกตเห็นว่า คนญี่ปุ่นจะไม่คุยโทรศัพท์ ซึ่งนั่นหมายความว่า พวกเขาจะปิดเสียงโทรศัพท์หรือเปิด ‘โหมดเสียงเงียบ’ (Manner Mode) ตามสถานที่ท่องเที่ยวก็จะมีสัญลักษณ์ให้นักเที่ยวเปิดโหมดนี้เวลาเข้าเยี่ยมชมตามสถานที่สำคัญต่างๆ อีกด้วย ดังนั้นเมื่อวัฒนธรรมไร้เสียงเข้ามาเป็นเทรนด์ของคนยุคใหม่ จึงทำให้เกิดสินค้าอย่าง Wearable Tech (เทคโนโลยีแบบสวมใส่ได้) สามารถใช้งานคู่กับสมาร์ตโฟน กล้องวงจรปิด หรือเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ของเราได้อย่างง่ายดาย

แหล่งที่มา https://www.gqthailand.com/views/article/a-survey-of-privacy-and-security-matters

Add Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *