ไม่ใช่แค่ของหวาน แม้แต่ของคาว ผลไม้ และสิ่งของต่างๆ ที่อยู่ในลิสต์ที่ต้องเตรียมในช่วงเทศกาลตรุษจีน ก็ล้วนแล้วแต่มีความหมายในตัวเองด้วยกันทั้งนั้น บางอย่างก็นิยมทำเฉพาะช่วงเทศกาลนี้เท่านั้น ขณะที่หลายอย่างเป็นของที่สามารถหากินได้ตลอดทั้งปี แต่ก็ขาดไม่ได้บนโต๊ะไหว้ ที่แน่ๆ ทุกชิ้นมีความหมายแฝงในตัวเองทั้งสิ้น
ช่วงเทศกาลตรุษจีนแบบนี้ เราขอชวนคุณมาศึกษาความหมายของขนมแต่ละชิ้นเพื่อความเป็นสิริมงคลรับเทศกาลตรุษจีนปีนี้
เราเชื่อว่าถ้าพูดถึงเทศกาลตรุษจีน ‘ขนมเข่ง’ จะต้องเป็นขนมชนิดแรกๆ ที่คนทั่วไปนึกถึง เพราะต่อให้จะหากินได้ทั่วไปตลอดทั้งปี แต่ก็ถือว่าน้อยกว่าขนมชนิดอื่นๆ แต่พอเข้าเทศกาลกลับวางเรียงรายทั่วไป และถือเป็นขนมที่ขาดไม่ได้ในรายการของไหว้
ในหนังสือเกี่ยวกับประวัติของอาหารหลายเล่มเล่าว่า ในยุคที่ชาวจีนอพยพออกจากประเทศของตัวเองเพื่อหนีความยากลำบาก พวกเขาต้องหาเสบียงที่เก็บได้นานไว้ประทังชีวิต ซึ่งนั่นก็คือการเอาแป้งข้าวเหนียวมากวนกับน้ำตาล จากนั้นนำไปนึ่งให้สุก จนได้ขนมที่เรียกว่า ‘ขนมเข่ง’ อย่างที่เรารู้จักกันเป็นอย่างดี คนจีนจึงนิยมนำขนมเข่งมาไหว้ในเทศกาลตรุษจีนเพื่อรำลึกถึงวันที่ตัวเองเคยลำบากยากแค้น นอกจากนั้นขนมเข่งก็ยังมีความหมายถึงชีวิตที่หวานและราบรื่น ซึ่งก็น่าจะมาจากรสหวานและเท็กซ์เจอร์นวลเนียนของตัวขนมนั่นเอง
ขนมจันอับ
อย่าให้ชื่อของขนมหลอกคุณว่าของไหว้ชนิดนี้ไม่เป็นมงคล เพราะจริงๆ แล้วขนมจันอับนั้นเต็มไปด้วยความหมายดีๆ ตั้งแต่ชื่อที่เพี้ยนมาจากคำว่า ‘จั๋งอั๊บ’ ที่ในภาษาจีนหมายถึง ‘ปิ่นโต’ ซึ่งให้ความหมายถึงความสุขที่เพิ่มพูนยิ่งๆ ขึ้นไป และจริงๆ แล้วจันอับนั้นไม่ใช่ชื่อของตัวขนม แต่เดิมเป็นชื่อของปิ่นโต หรือกล่องที่ใช้ใส่ขนมแห้งของชาวจีน ซึ่งจะประกอบไปด้วยขนมอย่างถั่วตัด งาตัด ถั่วเคลือบน้ำตาล ฟักเชื่อม และขนมข้าวพอง เป็นต้น
ชาวจีนเชื่อว่าความหวานของจันอับจะช่วยทำให้ชีวิตราบรื่น รวมถึงชีวิตคู่ด้วย นั่นจึงเป็นเหตุผลว่านอกจากจะเป็นขนมมงคลในเทศกาลตรุษจีนแล้ว ขนมจันอับยังขาดไม่ได้ในทุกงานมงคล โดยเฉพาะงานแต่งงานอีกด้วย
ขนมเทียน
ขนมเข่งและขนมเทียนราวกับเป็นของคู่กัน เพราะทำจากแป้งข้าวเหนียวด้วยกันทั้งคู่ ซึ่งด้วยความที่หากินได้ทั่วไปไม่ใช่แค่เฉพาะในย่านชุมชนชาวจีน ทำให้บางทีเราแทบจะแยกไม่ออกว่า มันเป็นขนมของชาติใดกันแน่
แท้จริงแล้วขนมเทียนเป็นขนมของชาวจีน ซึ่งหลังจากที่อพยพมายังประเทศไทยและหยิบเอาขนมไทยอย่างขนมใส่ไส้มาดัดแปลงซะใหม่ ด้วยการเปลี่ยนมาใช้แป้งข้าวเหนียวแทนแป้งข้าวเจ้า แล้วห่อด้วยใบตองคล้ายรูปทรงของเจดีย์ ก่อนนำไปนึ่งให้สุก ทำให้ความหมายจากชื่อและรูปทรงสื่อถึงความสว่าง และความอุดมสมบูรณ์ รวมถึงความราบรื่นในชีวิต
ซาลาเปา และ หมั่นโถว
สองเมนูติ่มซำยอดฮิตอย่างซาลาเปาและหมั่นโถว ก็ถือเป็นอีกสองสิ่งที่ขาดไม่ได้ยามไหว้เจ้า โดยความหมายของทั้งสองสื่อถึงคำว่า ‘เปาไช้’ ที่แปลว่า ‘ห่อโชค’ เหมือนเอาห่อโชคเข้าบ้านเพื่อความเป็นสิริมงคล โดยความแตกต่างคือหมั่นโถวเป็นแป้งอย่างเดียวไม่มีไส้ ขณะที่ซาลาเปาคือแป้งทรงกลมที่นิยมใส่ไส้ต่างๆ ทั้งคาวหวาน และถึงแม้ว่าขนมทั้งสองจะนิยมทำหน้าให้แตกเพื่อสื่อถึงดอกไม้บาน ความเบิกบาน หรือบ้างก็แต้มจุดแดง หรือปั๊มตัวหนังสือคำว่า ‘ฮก’ ที่แปลว่า ‘โชคดี’
ซิ่วท้อ
นอกจากซาลาเปาและหมั่นโถวแล้ว ญาติห่างๆ ของขนมสองชนิดแรกอีกหนึ่งชนิดที่ขาดไม่ได้ตอนไหว้เจ้ามีชื่อว่า ‘ซิ่วท้อ’ ทำจากแป้งชนิดเดียวกับซาลาเปา มีไส้เป็นประเภทถั่วกวน แต่ไม่ได้เป็นเรื่องเป็นราวเหมือนไส้ซาลาเปา ออกแนวมีไส้พอหอมมากกว่า แต่สาระสำคัญอยู่ที่การทำรูปร่างและเติมสีสันให้คล้ายกับผลท้อ ซึ่งเป็นผลไม้มงคลของชาวจีนที่สื่อถึงการมีอายุยืนยาว ถ้ามีของไหว้ชนิดนี้ หรือมอบให้ใครในวาระโอกาสพิเศษจะถือว่านำพาความอายุยืนให้กับเขา
ฮวกก้วย
นอกจากของไหว้ที่เราเห็นกันอยู่ทั่วไปแล้ว ยังมีของไหว้ประเภท ‘ก้วย’ ที่เป็นของน่ารู้อีกอย่างหนึ่ง โดยการไหว้ด้วยของที่เป็นก้วย หรือขนมที่ทำจากแป้งข้าวเจ้าและแป้งข้าวเหนียวนั้น จะเป็นประเพณีของชาวจีนแต้จิ๋ว ที่ไหว้ส่งเทพเจ้าขึ้นสวรรค์ในช่วงปีใหม่เช่นกัน และพื้นฐานของขนมก็ทำมาจากแป้งและน้ำตาลเช่นเดียวกัน แต่มีชื่อเรียกแตกต่างกันออกไป
ฮวกก้วยทำจากแป้งสาลีและน้ำตาลเป็นหลัก โดยต้องทิ้งให้แป้งขนมขึ้นฟูก่อนนำไปนึ่ง ขนมชนิดนี้มีทั้งหน้าตาแบบกลม ปั๊มตัวอักษรสีชมพู (แบบนี้ของดีคือต้องนึ่งแล้วขึ้นฟู หน้าไม่แตก) ส่วนอีกเวอร์ชั่นหนึ่งเป็นที่รู้จักมากกว่า โดยคนไทยนิยมเรียกว่า ‘ขนมถ้วยฟู’ ที่เมื่อนึ่งแล้วหน้าขนมจะแตกเป็นกลีบดอกไม้ มีสีสันต่างๆ แล้วแต่สูตรของแต่ละคน แต่ในความหมายนั้นก็ตรงตามชื่อคือความเฟื่องฟูในชีวิตนั่นเอง
ภาพ: พัชคุณ ชมชัดรัชมงคล
แหล่งที่มา https://www.gqthailand.com/lifestyle/article/cny-sweet