เมื่อเรียนรู้จากอดีต อยู่กับปัจจุบันได้แล้ว ก็ถึงเวลามองไปที่อนาคต

     โสรัจจะ นวลอยู่ โหรทำนายดวงเมือง ที่ได้รับฉายาว่า ‘นอสตราดามุสเมืองไทย’ ทำนายว่า สรุปแล้ว 3 เรื่องใหญ่ในปี 2564 คือ ‘การเมือง โรคระบาด และเศรษฐกิจ’ ซึ่งโรคระบาดอาจแทรกการเมืองในบางช่วง เพราะโควิด-19 จะพัฒนาในเร็วๆ นี้ กลายเป็นไวรัสที่รุนแรง โดยมาจากต่างประเทศ เมื่อติดแล้วจะทำลายเนื้อเยื่อของคน อาจจะเสียชีวิตได้ภายใน 24 ชั่วโมง หรืออาจจะไม่ได้ติดต่อจากคนสู่คน เช่น มาทางอากาศ หรือมาตามแม่น้ำลำคลอง ซึ่งอาจติดเชื้อได้ง่าย ไม่ควรประมาท ส่วนข่าวดี ‘การแพทย์’ ของเราจะเด่นในต่างแดนด้วย เราอาจค้นพบยา หรือวัคซีน จากสมุนไพรคู่บ้านคู่เมือง ที่นำมาใช้และค้นคว้าประกอบกันจนได้ยาที่สามารถรักษาโรคร้าย (โปรดใช้วิจารณญาณ)

     ถามว่าบางข้อของคำทำนายทางโหราศาสตร์ดังกล่าว แตกต่างจากการวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ และตรรกศาสตร์หรือไม่? ก็อาจไม่หนีกันมาก แต่มีวิธีพูดที่แตกต่างกัน

โควิด-19 อาจอยู่ในโลกนี้อีก ปี

     มีรายงานจากสำนักข่าวบลูมเบิร์กว่า มีความเป็นไปได้ที่โรคโควิด-19 จะยังคงระบาดอยู่ในโลกนี้อีกประมาณ 7 ปี เนื่องจากแม้จะมีการฉีดวัคซีนในทั่วโลกแล้ว ทว่าหลายพื้นที่ยังมีการวางแผนที่ไม่ดีนัก และมีความล้าช้าในการดำเนินการ ทำให้ทั่วโลกอาจยังต้องฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ไปอีก 10 ปี

     โดยนายแพทย์ แอนโทนี เฟาซี (Anthony Fauci) ผู้เชี่ยวชาญและผู้อำนวยการสถาบันภูมิแพ้และโรคติดต่อแห่งชาติสหรัฐฯ ประเทศที่มีตัวเลขผู้ป่วยสะสมสูงที่สุดได้วิเคราะห์และประเมินสถานการณ์ว่า อเมริกาต้องฉีดวัคซีนให้ประชาชน 70-85 เปอร์เซ็นต์ เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ที่เพียงพอ ซึ่งหากรักษาระดับของการฉีดในปีหน้าก็คงจะหยุดการระบาดได้

     ส่วนความแตกต่างของความมั่งคั่งในแต่ละประเทศก็มีผล อย่างประเทศในแถบตะวันตกและประเทศที่ร่ำรวย ขณะนี้ได้ฉีดวัคซีนให้ประชาชนถึง 3 ใน 4 ของประชากรแล้ว ขณะที่ประเทศที่กำลังพัฒนาและประเทศโลกที่สามไม่ได้เริ่มโครงการได้อย่างรวดเร็วทุกประเทศ ซึ่งหากเริ่มได้เร็วก็พอที่จะสร้างภูมิคุ้มกันให้ประชาชนได้ 3 ใน 4 ของประชากรภายในครึ่งปี

     อย่างไรก็ตาม ประเทศที่ฉัดวัคซีนโควิด-19 ให้กับประชาชนฟรีนั้นมีแค่ 1 ใน 3 ของโลก โดยปัจจุบันต้องฉีด 2 โดสจึงจะมีประสิทธิภาพ แต่ถ้าในอนาคตสามารถพัฒนาให้ฉีดแค่เพียงโดสเดียวได้ ก็จะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้มนุษย์ได้เร็วขึ้น

การกลายพันธุ์ที่ทุกคนหวั่น

     มีข่าวคราวว่าไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ N501Y.V2 ในแอฟริกาใต้ มีการกลายพันธุ์ ทำให้วัคซีนจากอ็อกซ์ฟอร์ด-แอสตราเซเนกา อาจป้องกันการติดเชื้อจากไวรัสดังกล่าวไม่ได้ นอกจากนี้ยังสามารถกลายพันธุ์ได้อีก จากการวิจัยของมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์

     ซึ่งกรณีนี้ ดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยนวัตกรรมสุขภาพสัตว์และการจัดการ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ ได้แสดงความเห็นกับไทยรัฐว่า หากวัคซีนมาถึงไทย ก็อาจช้าเกินไปจนประสิทธิภาพลดลง เนื่องจากเชื้อโรคโควิดกลายพันธุ์จากคนติดเชื้อติดๆ กัน และหากยังใช้วัคซีนตัวเดิม ภูมิคุ้มกันที่เราสร้างขึ้นจะจัดการกับสายพันธุ์ที่เปลี่ยนไปได้ไม่เต็มที่ จากที่ใช้วัคซีนในคนอเมริกันได้ผล 90 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเอามาฉีดให้คนไทย ผลที่ได้อาจเหลือแค่ 50-60 เปอร์เซ็นต์ คือยังป้องกันไวรัสได้เหมือนกับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ที่ฉีดกันทุกปี แต่คาดหวังไม่ได้ว่าเมื่อฉีดวัคซีนแล้วทุกคนจะไม่ติดโควิด

โอกาสในวิกฤติ’ ประโยคคลาสสิกที่ยังใช้ได้อยู่

     แม้ปีที่ผ่านมาธุรกิจการท่องเที่ยวจะได้รับผลกระทบอย่างหนัก แต่ถ้ามองไปข้างหน้า ก็ยังมีธุรกิจอีกพอสมควรที่มีโอกาสโตสวนกระแสวิกฤติ และโตอย่างต่อเนื่องจากปีก่อน โดยเฉพาะธุรกิจที่ให้บริการผู้ที่ Work from Home ในช่วงเวลานี้ อย่างเช่น ผู้ให้บริการวิดีโอสตรีมมิ่ง, บริการอินเทอร์เน็ต, ฟู้ดเดลิเวอรี และคอร์สเรียนออนไลน์ อีกอย่างหนึ่งเราอาจยอมรับเทคโนโลยีใหม่ได้เร็วขึ้นในจังหวะเวลานี้ เคสที่เห็นได้ชัดคือผู้บริโภคและภาคธุรกิจย่นระยะเวลาเปิดรับเทคโนโลยีจาก 5 ปีเหลือ 8 สัปดาห์ และ 10 ปี เหลือ 3 เดือนสำหรับการช็อปปิ้งออนไลน์ จากการอ้างอิงของแม็กคินซีย์ (McKinsey) บริษัทที่ปรึกษาชื่อดัง

     อย่างไรก็ตาม ธุรกิจการท่องเที่ยวระหว่างประเทศก็จะยังคงแย่ลงเรื่อยๆ แน่นอน หากโควิดยังไม่จากเราไปเสียที ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่า ประเทศที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อในระดับต่ำจะฟื้นตัวเร็วกว่า ขณะที่ประเทศที่พึ่งพารายได้จากการท่องเที่ยวและบริการจะฟื้นตัวช้ากว่า และธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการบริการจะฟื้นตัวค่อนข้างช้า

โควิดหายเมื่อไหร่ ช็อปกระจายเมื่อนั้น!

     อาจฟังดูตื้นเขิน แต่มีแนวโน้มว่าหากสถานการณ์ดีขึ้น กำลังซื้อก็จะกลับมาในแบบที่เรียกว่า ‘ช็อปให้หายอยาก’ ซึ่งมันก็คือการปลดปล่อยสิ่งที่อัดอั้นออกมา หลังจากความปรารถนาถูกจองจำด้วยมาตรการการป้องกันการแพร่ระบาด

     อย่างไรก็ตาม แนวโน้มนี้อาจมีโอกาสเกิดขึ้นในประเทศที่มีอายุเฉลี่ยของประชากรที่ค่อนข้างต่ำ เช่น อินเดีย และอินโดนีเซีย ส่วนประเทศที่มีค่าเฉลี่ยอายุประชากรค่อนข้างสูงอย่างฝรั่งเศส, อิตาลี และญี่ปุ่น อาจไม่ออกอาการนี้เท่าไหร่ ยกเว้นจีน ที่แม้จะมีประชากรสูงวัยเยอะ แต่ชาวจีนทุกเพศทุกวัยส่วนใหญ่จะรักการจับจ่าย

     ดินแดนมังกรที่เป็นทั้งชาติแรกที่ติดโควิด-19 และชาติแรกที่ดูเหมือนจะหลุดพ้นจากโรคร้ายได้เร็วกว่าใครเพื่อน เคยมีปรากฏการณ์สร้างสถิติช็อปปิ้งออนไลน์สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน ซึ่งเป็น ‘วันคนโสด’ ของจีน อย่างมีนัยสำคัญ โดยความมั่นใจในการจับจ่ายนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะวันสำคัญที่ผู้คนนิยมช็อปปิ้งเท่านั้น แต่ยังเกิดจากการที่โรงงานอุตสาหกรรมของจีนกลับมาเดินหน้าในสายการผลิตอีกครั้งตั้งแต่เดือนกันยายนปีก่อนอีกด้วย ซึ่งตัวเลขบ่งชี้ว่าชาวจีนใช้จ่ายมากพอๆ กันกับช่วงก่อนหน้าวิกฤตินี้ เราจึงค่อนข้างมั่นใจว่า หากพ้นช่วงโควิดไป หลายคนคงจะอยากจับจ่ายเพื่อฉลองให้ตัวเองไม่น้อย ต่างจากตอนนี้ ที่กว่าจะควักเงินแต่ละทีต้องมีเหตุผลกันหน่อย

เขียวแกมน้ำตาล’ จะกลายเป็นสีแห่งการฟื้นฟู

     หลังโรคระบาดครั้งนี้ การฟื้นฟูที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ ‘สิ่งแวดล้อม’ หลายชาติได้ตระหนักและจริงจังกับการอนุรักษ์ธรรมชาติ พร้อมกับเฟ้นหาพลังงานสะอาด จีน อินเดีย และบางรัฐในตะวันออกกลางต่างก็ลงทุนกับพลังงานสีเขียวในสเกลที่มากเกินคาด ยุโรปและสหราชอาณาจักรก็ร่วมมือกันรณรงค์ลดโลกร้อน ขณะที่อเมริกาก็เริ่มลดการใช้พลังงานจากถ่านหินมาเป็นการใช้พลังงานสะอาด ใช้แบตเตอรี ใช้เทคโนโลยีดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon-Capture Methods) รวมถึงใช้รถยนต์ไฟฟ้ากันม

ากขึ้น ซึ่งนายโจ ไบเดน (Joe Biden) ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนปัจจุบันเคยให้คำมั่นสัญญาว่าจะลงทุนเงิน 2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ให้กับการพัฒนาพลังงานสะอาดเพื่อการเดินทาง อุตสาหกรรม และการก่อสร้าง

     สหภาพยุโรป (EU) เอง ก็มีการถ่ายโอนงบประมาณแผนสู้กับโควิดราว 30 เปอร์เซ็นต์ มาใช้กับมาตรการลดโลกร้อน ขณะที่จีนก็ประกาศว่าในปี 2060 จีนจะเป็นประเทศที่มีค่าการปล่อยก๊าซคาร์บอนเป็นศูนย์ ส่วนญี่ปุ่นวางแปลนไว้เหมือนกัน แต่เร็วกว่าจีน 10 ปี (2050) เช่นเดียวกับเกาหลีใต้

     ฟากแคนาดานั้นก็วางแผนฟื้นฟูสภาพอากาศและภูมิประเทศควบคู่กับแผนฟื้นฟูจากโควิด ส่วนไนจีเรียก็จะลดการใช้เชื้อเพลิงจากฟอสซิลด้วยการติดตั้งระบบพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ให้กับประชาชน 25 ล้านคน ด้านโคลอมเบียก็เตรียมปลูกต้นไม้ 180 ล้านต้น

แหล่งที่มา https://www.gqthailand.com/views/article/what-makes-a-great-work-culture

Add Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *