มหานครนิวยอร์ก (New York City) อาจจะไม่ใช่เมืองที่ต้องไปสำหรับทุกคน แต่เป็นเมืองที่ต้องไปสำหรับคนที่ใฝ่ฝันการไปเยือนสหรัฐอเมริกาสักครั้งในชีวิต นอกจากจะมีแลนด์มาร์กโด่งดังมากมาย โลเกชั่นที่เต็มไปด้วยตึกที่สร้างด้วยสถาปัตยกรรมแนวโมเดิร์นลอฟต์อันสวยงามจนเป็นเอกลักษณ์ ที่นี่จึงเสมือนโลเกชั่นหลักในการถ่ายทำภาพยนตร์ของฮอลลีวูด

     ทั้งหนังแอ๊กชั่นไล่ล่ากันย่านไทม์สแควร์ และหนังโรแมนติกคอเมดี้ที่เรามักจะเห็นพระเอก-นางเอกมาทิ้งท้ายเรื่องแบบแฮปปี้เอนดิ้งบนสะพานบรูกลิน แต่ความจริงแล้วคนอเมริกันบอกว่า นิวยอร์กเป็นเมืองที่ดูเป็นอเมริกามากที่สุด ด้วยความเป็นเมืองที่รวมความหลากหลายและมีสัญลักษณ์สำคัญอย่างเทพีเสรีภาพและตึกเอมไพร์สเตต

     แต่ในความเป็นเมืองใหญ่ ก็ยังมีความงดงามซุกซ่อนอยู่ตามร้านรวงต่างๆ ที่นักท่องเที่ยวน้อยคนนักจะไปเช็กอิน เนื่องจากอาจจะไม่ใช่สถานที่สุดฮิต หรืออาจไม่ทราบว่ายังมีหลายแห่งเหมาะแก่การผ่อนคลายและเดินเที่ยวชิลๆ เพื่อพักผ่อนยิ่งนัก

1. Elizabeth Street Garden โอเอซิสลึกลับแห่งนิวยอร์ก

     ว่ากันว่าที่นี่คือสวรรค์ของชาวโซโห (SoHo) ใกล้กับอพาร์ตเมนต์ราคาประหยัดของคนสูงวัยในนิวยอร์ก Elizabeth Street Garden คือสวนสไตล์อังกฤษที่ซ่อนอยู่ในตัวเมืองแมนฮัตตัน (Manhattan) ระหว่างถนนพรินซ์ (Prince) และสปริง (Spring) เนื่องจากเป็นสวนเล็กๆ ที่ขนาบด้วยตึกใหญ่ จึงเปรียบเสมือนย่านชุมชนย่อมๆ ที่ผู้คนต่างมาแบ่งปันอากาศบริสุทธิ์บนพื้นที่สีเขียวร่วมกัน

อีกทั้งยังเป็นจุดรวมตัวของคนที่ต้องการพักผ่อนและชมงานศิลปะ จนได้ชื่อฉายาว่า ‘ลิตเติล อิตาลี’ (Little Italy) ที่เปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าชม เป็นสถานที่สำคัญของเหล่าอาร์ติสต์ที่จะเข้ามาจัดงานศิลปะของตนเอง หรือจัดงานให้ความรู้ด้านสาธารณสุขตั้งแต่เด็กไปจนถึงผู้สูงอายุ ดังนั้นจึงมีอาสาสมัครเข้าช่วยทำงานกันอย่างสม่ำเสมอ ส่วนนักท่องเที่ยวอย่างเราก็สามารถช่วยบำรุงสวนน่ารักแห่งนี้ด้วยการบริจาคเงินตามอัธยาศัย


2. Museum of Ice Cream ชวนมาทิ้งตัวในพิพิธภัณฑ์ไอศกรีมแสนสวย

     สวรรค์ของคนรักไอศกรีมต้องพุ่งตัวไปยัง Museum of Ice Cream (MOIC) หรือพิพิธภัณฑ์ไอศกรีมแสนน่ารักในย่านโซโห ถือเป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์กที่ต้องเช็กอินที่แมนฮัตตัน พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เปิดในรูปแบบป๊อปอัปขนาดเล็ก เนรมิตขึ้นมาให้ชาวเมืองและนักท่องเที่ยวได้ร่วมสนุกแบบอินเทอร์แอ็กทีฟ พร้อมดื่มด่ำกับรสชาติไอศกรีมแบบเอ็กซ์คลูซีฟที่จำหน่ายนอกพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ด้วย 

     เห็นหน้าร้านดูเล็กๆ แต่ตัวพิพิธภัณฑ์ไอศกรีมครอบคลุมพื้นที่เกือบ 25,000 ตารางฟุตทั่วทั้งตึก 3 ชั้น ซึ่งการตกแต่งได้รับแรงบันดาลใจจาก Celestial Subway มีรังผึ้งยักษ์ภายใน MOIC ซึ่งคอยมอบความสนุกให้กับคนรักไอศกรีมผ่านการจัดแสดง Sprinkle Pool สระว่ายน้ำที่อนุญาตให้ทุกคนสามารถลงไปแหวกว่ายในเกล็ดน้ำตาล หรือจะแหวกร่างเข้าไปใน Pop Rocks Cave ถ้ำอมยิ้มที่เต็มไปด้วยลูกกวาดสีสันสดใสราวกับออกมาจากจินตนาการ

     ขาดไม่ได้คือการจำหน่ายไอศกรีมรสแปลกอย่างรสชูร์โร (Churro Churro) ขนมปาท่องโก๋สเปน ช็อกโกแลต ครัช (Chocolate Crush) และวานิลเลียนแนร์ (Vanillionaire) ไอศกรีมวานิลลากับวาฟเฟิลคุกกี้ รสชาติเหล่านี้ยังถูกส่งไปจำหน่ายที่ร้านทาร์เก็ต (Target) เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้กับแฟนคลับไอศกรีมของร้าน ถึงแม้จะไม่ได้มาสนุกที่ Museum of Ice Cream แห่งนิวยอร์กก็สามารถซื้อกลับบ้านไปอร่อยกันได้เลย

3. Devoción Coffee Roaster ปักหมุดไว้! คาเฟ่ที่คอฟฟี่เลิฟเวอร์ต้องมาเยือนสักครั้ง

     คาเฟ่ไม่ลับ แต่คนไทยมักไม่รู้ว่ามีคาเฟ่สุดชิกอยู่ในย่านบรูกลินแห่งนี้ จุดเด่นของ Devoción Coffee คือรสชาติของกาแฟที่นำเข้าเมล็ดจากโคลอมเบีย ด้วยไอเดียสุดบรรเจิดของสตีเฟน ซุตตัน (Steven Sutton) ชาวโคลอมเบียที่ย้ายมาเรียนและใช้ชีวิตในสหรัฐอเมริกามาอย่างยาวนาน จนเขาอยากนำเมล็ดกาแฟดีๆ มาเผยแพร่ในประเทศ

     อีกหนึ่งความเก๋คือภายในร้านถูกสร้างเป็นโรงคั่วกาแฟขนาดย่อม ทำให้นักท่องเที่ยวได้เห็นกรรมวิธีการคั่วและการันตีถึงความสดใหม่ของเมล็ดกาแฟที่ส่งตรงมาจากบ้านเกิดภายใน 10 วัน นอกจากเมนูกาแฟพื้นฐานที่โดดเด่นด้วยความหอมกรุ่นของกาแฟชั้นดีแล้ว ยังมีเครื่องดื่มนุ่มๆ อย่างน้ำซ่าจากเปลือกกาแฟชื่อว่า Sparkling Cascara (Sun Dried Coffee Cherries) ที่ให้ความรู้สึกสดชื่นจากเชอร์รีอมเปรี้ยวและออกรสซ่าเล็กน้อย อีกทั้งยังมีขนมอบใหม่ ไม่ว่าจะเป็นครัวซองต์เนยสดที่มีความหวานซ่อนเปรี้ยวของแยมเบอร์รีซ่อนอยู่ด้านใน กินคู่กับกาแฟร้อนยามเช้า รับรองว่าเป็นการต้อนรับวันใหม่ของทริปอย่างฟินที่สุด 

4. The Strand Bookstore ร้านหนังสือเก่าแก่และใหญ่ที่สุด

     สถานการณ์โลกเข้าสู่ยุคดิจิทัลทำให้คนอ่านหนังสือน้อยลง ทั้งที่เมื่อปี 1950 ย่านแมนฮัตตันมีร้านหนังสืออยู่มากถึง 386 ร้าน แต่ปัจจุบันเหลือน้อยเต็มทีจนมีอยู่ไม่ถึง 80 ร้าน 

     โชคดีหน่อยที่ร้านหนังสืออิสระขนาดใหญ่ที่สุดในนิวยอร์กอย่างเดอะ สแตรนด์ (The Strand) ซึ่งเปิดบริการมาตั้งแต่ปี 1927 ได้เปรียบตรงมีพื้นที่และตึกเป็นของตนเอง ทางคณะกรรมการเมืองอยากอนุรักษ์บรรดาหนังสือหายากและอยากคงนิสัยรักการอ่านของชาวเมืองไว้ จึงเสนอให้ร้านดังกล่าวเป็นแลนด์มาร์กแห่งมหานครนิวยอร์ก

     ความเก่าแก่ราวกับมีมนต์ขลังด้วยอายุ 84 ปี ร้านหนังสือเดอะ สแตรนด์ที่ตั้งอยู่หัวมุมถนนรายล้อมไปด้วยบรรดาตึกสูงทันสมัยของมหาวิทยาลัยนิวยอร์กนั้นดูโดดเด่น น่าค้นหา ซึ่งสถาปัตยกรรมของตึกยังคล้ายห้องสมุดโบราณ ประดับประดาด้วยชั้นหนังสือไม้เก่า เรียงรายไปด้วยหนังสือทุกประเภทจากทั่วโลกมากถึง 25 ล้านเล่ม 

     นอกจากนี้ ร้านเดอะ สแตรนด์ยังจำหน่ายหนังสือราคา 1 เหรียญสหรัฐบริเวณชั้นหนังสือตรงทางเดินเพื่อดึงดูดใจนักอ่านในราคาย่อมเยา อีกทั้งยังจำหน่ายหนังสือมือสองหายาก และยังสามารถนำหนังสือมาวางแลกเปลี่ยนกับเพื่อนนักอ่านได้อีกด้วย

แหล่งที่มา https://www.gqthailand.com/lifestyle/article/the-masterpiece-in-capri

Add Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *