ศัพท์คำว่า ‘เมตาเวิร์ส’ (Metaverse) กลายเป็นคำยอดฮิตแห่งยุคสมัย หลังบริษัทเฟซบุ๊ก (Facebook) ประกาศเปลี่ยนชื่อตัวเองเป็น ‘เมตา’ (Meta) เพื่อสะท้อนถึงทิศทางใหม่ที่เป็นมากกว่าโซเชียลเน็ตเวิร์ก ทำให้คนทั่วโลกหันมาสนใจ (และเกาะกระแส) ในเรื่อง Metaverse กันอย่างคับคั่ง
แต่แท้จริงแล้ว Metaverse คืออะไรกันแน่ โลกเทคโนโลยีในอนาคตจะมุ่งสู่ Metaverse ดังที่มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) และทีมงานฝันถึงหรือไม่ หรือจริงๆ แล้วมันเป็นแค่เป็นคำสร้างกระแส (Buzzword) ที่จะดังขึ้นมา แล้วอีกไม่นานเราก็ลืมมันไป
คำว่า ‘Metaverse’ เกิดขึ้นครั้งแรกในนิยายวิทยาศาสตร์เรื่อง Snow Crash ที่ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1992 (ก่อนที่อินเทอร์เน็ตจะถูกใช้งานอย่างแพร่หลาย) แต่นิยามของ Metaverse ณ ปี 2022 ก็ยังไม่ชัดเจนนัก โดยทั่วไปแล้วมีความหมายกว้างๆ ว่าเป็นโลกเสมือนแบบสามมิติที่มนุษย์สามารถเข้าไปสร้างปฏิสัมพันธ์กันข้างใน
หากดูคำอธิบายของบริษัท Meta บนหน้าเว็บไซต์ ซึ่งเขียนเอาไว้ว่า “The metaverse is the next evolution of social connection” เป็นความหมายกว้างๆ ว่า Metaverse คือวิวัฒนาการขั้นถัดไปของโซเชียลแบบที่เราคุ้นเคยกัน โดยยกคุณสมบัติเรื่องพื้นที่สามมิติ (3D Space) ว่าจะช่วยให้เราปฏิสัมพันธ์กับผู้ใช้คนอื่นๆ ได้เกินกว่าที่เคยจินตนาการไว้
การหาคำตอบว่า Meta มอง Metaverse อย่างไร อาจต้องกลับไปดูที่รากเหง้าธุรกิจของบริษัทว่าผ่านอะไรมาบ้าง แล้วจะมุ่งไปที่ไหน
บริษัทเฟซบุ๊กผ่านวิวัฒนาการตามยุคสมัยมาแล้วหลายครั้ง เริ่มจากการเป็นบริการโซเชียลผ่านพีซี เน้นโพสต์ข้อความเป็นหลัก เข้าสู่ยุคสมาร์ตโฟน เปลี่ยนมาโพสต์รูปภาพและคลิปวิดีโอ ในภายหลังเรายังเห็นเฟซบุ๊กเข้าซื้อบริการโซเชียลข้างเคียงอย่างอินสตาแกรม (Instagram) และวอตส์แอป (WhatsApp) รวมถึงเพิ่มฟีเจอร์ใหม่จากคู่แข่ง เช่น การโพสต์ภาพที่หายไป (Stories นำมาจาก Snapchat) หรือคลิปวิดีโอสั้น (Reels นำมาจาก TikTok)
อีกปัจจัยที่น่าสนใจคือถึงแม้ Meta จะมีบริการอย่าง Messenger, Instagram, WhatsApp ที่อยู่บนสมาร์ตโฟนแทบทุกเครื่องในโลก (อาจมีข้อยกเว้นเฉพาะแค่ในจีน) แต่ตลาดสมาร์ตโฟนกลับเป็นของแอปเปิลและกูเกิลเพียงแค่ 2 บริษัท บริษัทสองรายนี้มีอำนาจอย่างสูงในการควบคุมแพลตฟอร์มที่มีจำนวนหลายพันล้านเครื่อง ในขณะที่ Meta นอกจากทำแอปฯ แล้วไม่มีอำนาจต่อรองอย่างอื่นเลย
การที่ Meta ตกรถสมาร์ตโฟนมาแล้วรอบหนึ่ง จึงคงไม่อยากตกรถอีกรอบ เมื่อบวกกับตัวของมาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก คงมองเห็นเทรนด์ว่าบริการโซเชียลจะเปลี่ยนตัวเองไปเรื่อยๆ ตาม ‘อุปกรณ์’ ของผู้ใช้ในแต่ละยุคสมัย ในยุคของพีซีเน้นป้อนข้อความผ่านคีย์บอร์ด พอเป็นยุคสมาร์ตโฟนก็เปลี่ยนมาเป็นการโพสต์ภาพและวิดีโอแทน เขาจึงเดิมพันว่ายุคหน้าเราจะได้เห็นอุปกรณ์ชนิดใหม่ๆ ที่สร้างโลกเสมือนที่ ‘สมจริงกว่าเดิม’
เมื่อปี 2014 เฟซบุ๊กจึงซื้อกิจการบริษัท Oculus ที่ทำแว่น Virtual Reality แบบสวมหัว เพื่อเตรียมความพร้อมสู่ยุคถัดไป หลังจากซื้อกิจการแล้ว Oculus ยังมีสถานะเป็นอิสระในช่วงแรกๆ และค่อยๆ พัฒนาแว่นที่มีความสามารถมากขึ้นเรื่อยๆ ในราคาที่ถูกลง จนสุดท้ายออกมาเป็นแว่น Oculus Quest 2 ที่กดราคาลงมาได้ 299 เหรียญสหรัฐ หรือต่ำกว่า 1 หมื่นบาทแล้ว
พอเงื่อนไขฝั่งฮาร์ดแวร์พร้อม แว่น Quest 2 เป็นสินค้าที่จับต้องได้ เราจึงเห็นการประกาศเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น Meta ในท้ายที่สุด
คำถามต่อมาที่ทุกคนคงสงสัยเหมือนกัน คื ตกลงแล้วทุกคนที่อยากเข้าสู่ Metaverse จะต้องสวมแว่น VR อย่างนั้นหรือ
คำตอบจาก Meta คือไม่เสมอไป เพราะ Metaverse มีหลายระดับ เราจะเลือกเข้าที่ระดับไหนก็ได้ ปัจจุบัน Meta ตั้งหน่วยธุรกิจที่เรียกว่า Reality Labs รับผิดชอบการพัฒนาสินค้า Metaverse โดยเฉพาะ ซึ่งสินค้ามีตั้งแต่ระดับท็อปสุดคือแว่น VR ที่สวมเพื่อเข้าสู่โลกเสมือนอย่างสมบูรณ์ แต่ก็ยังมีสินค้าอื่นๆ เช่น แว่นกันแดดที่ทำร่วมกับ Ray-Ban ใช้ถ่ายภาพตามที่สายตามองเห็นแล้วโพสต์ขึ้นโซเชียล (โดยไม่ต้องเข้าโลก VR) หรือหน้าจอ Portal ที่ติดกล้องสำหรับคุยวิดีโอคอลล์ผ่าน Messenger โดยตรง แทนการหยิบสมาร์ตโฟนขึ้นมาใช้คอล
ภาพอนาคตของ Metaverse จึงค่อนข้างหลากหลาย มีตั้งแต่การคุยวิดีโอคอลแบบที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้ การใส่สติกเกอร์สามมิติในฟิลเตอร์อินสตาแกรม ไปจนถึงการสร้างอวตารเสมือนไปเล่นเกมออนไลน์กับคนอื่นๆ ทั่วโลกด้วยแว่น VR
และต้องย้ำว่านี่คือนิยาม Metaverse ของบริษัท Meta เพียงรายเดียวเท่านั้น หลังคำว่า Metaverse โด่งดัง ก็มีบริษัทอื่นๆ พัฒนาคอนเซ็ปต์นี้เพิ่มเติมอีกมากมาย เช่น การนำแนวคิดเรื่องบล็อกเชนจากวงการคริปโตฯ มาผสมผสาน สร้างที่ดินในโลกเสมือนเพื่อให้ซื้อขายจับจอง (Decentraland) หรือไมโครซอฟต์ที่นำแนวคิดเรื่องอวตารไปผสมกับวิดีโอคอลในบริษัทผ่าน Microsoft Teams ก็นิยามตัวเองว่าเป็น Metaverse อีกเหมือนกัน
ดังนั้นหากเราย้อนกลับไปยังคำถามว่า Metaverse จะเกิดหรือดับ ก็คงต้องถามกลับว่านิยาม Metaverse ที่พูดถึงมีขอบเขตอย่างไรกันแน่
เอาเข้าจริง แนวคิดที่ฟังดูล้ำๆ แบบการสร้างโลกเสมือน ให้คนกลายร่างเป็นอวตารเข้าไปสร้างบ้าน อยู่อาศัย ประดิษฐ์ของมาขายระหว่างกัน เป็นเรื่องเก่าที่เกิดขึ้นมาหลายรอบแล้วในโลกเทคโนโลยี ตัวอย่างที่ใกล้เคียงที่สุดคือ Second Life โลกเสมือนที่เปิดตัวในปี 2003 และเคยมีผู้เล่นสูงสุดเกิน 1 ล้านคน มีระบบสกุลเงินภายในของตัวเอง ปัจจุบัน Second Life ยังเปิดให้บริการ มีผู้ใช้งานอยู่ แต่ความนิยมก็ลดลงมาแล้ว
ถ้าเป็นตัวอย่างสังคมเสมือนในยุคใหม่ เรามีเกมออนไลน์ที่มีผู้เล่นจำนวนมาก (Massively Multiplayer Online-MMO) อยู่แล้วมากมาย เช่น World of Warcraft, Final Fantasy XIV, PUBG, Fortnite, Minecraft และ Roblox ซึ่งเกมเหล่านี้มีระบบเศรษฐกิจภายในเกม มีการสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เล่นกันเป็นปกติ หากตีความให้เกมเหล่านี้เป็น Metaverse ก็ต้องบอกว่าเป็น Metaverse ที่เกิดขึ้นจริงๆ จับต้องได้แล้วเช่นกัน
ส่วนตัวแล้วผู้เขียนเชื่อว่า Metaverse ในแง่ความเป็นโซเชียลที่เกิดปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนบนโลกออนไลน์นั้นเกิดขึ้นมานานแล้ว ส่วนเราจะเข้าสู่โลกออนไลน์เหล่านี้ด้วยการใส่แว่น VR เพิ่มอีกหรือไม่ เป็นสิ่งที่ต้องหาคำตอบทางเทคโนโลยีที่เหมาะสมกันต่อไป (ไมโครซอฟต์เคยพยายามทำ Minecraft VR ก็ไม่ประสบความสำเร็จนัก)
ในขณะที่โลกเสมือนแบบ VR เต็มขั้นอาจเกิดในวงกว้างได้ไม่ง่ายนัก เพราะการสวมแว่น VR ก็มีต้นทุนทางกายภาพอีกหลายอย่าง (เหนื่อย หนักหัว รู้สึกตัดขาดจากโลกภายนอก) แต่ถ้ามองการใช้งานเฉพาะทาง การนำมาใช้เล่นเกมบางประเภทเพื่อความสมจริงที่มากขึ้น หรือใช้ในการเทรนนิ่งของบางวิชาชีพ (เช่น ฝึกซ่อมเครื่องยนต์เครื่องบิน) ก็ถือเป็นทางออกทางเทคโนโลยีที่น่าสนใจ
แหล่งที่มา https://www.gqthailand.com/views/article/is-the-metaverse-real
- July 22, 2022
- 64
- 0
- Lifestyle