เมื่อการระบาดของโรคโควิด-19 ยุติลง มีการคาดการณ์ว่าจะมีอัตราคนว่างงานในประเทศไทยราว 3-5 ล้านคน ที่น่าเป็นห่วงก็คือตำแหน่งงานจากบริษัทต่างๆ ก็จะลดน้อยลงตามไปด้วย เนื่องจากพิษร้ายจากไวรัสที่ส่งผลต่อธุรกิจเป็นวงกว้าง แล้วถ้าหันไปพึ่งพาภาครัฐ… ข่าวร้ายคือประเทศเราจะจนไปอีกนานหลายปี (เช่นเดียวกับอีกหลายประเทศทั่วโลก) เพราะเงินที่รัฐบาลใช้เยียวยาประชาชนทั่วประเทศและการออกมาตรการช่วยเหลือลดหย่อนต่างๆ ในช่วงที่ผ่านมาคือการใช้เงินในอนาคต ซึ่งเป็นเงินนอกงบประมาณ ทำให้รัฐบาลไม่มีรายได้ และไม่มีเงินเหลือพอที่จะโอบอุ้มคนว่างงาน

     บรรดาคนทำงานและผู้ประกอบธุรกิจส่วนใหญ่พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า แม้โควิด-19 จะจบลง แต่แนวคิดด้านธุรกิจและวิธีการทำงานจะเปลี่ยนไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ ทุกคนจำเป็นต้องปรับเปลี่ยน Mindset ในการทำธุรกิจ เราจะคิดเหมือนเดิมไม่ได้ เมื่อโลกถูกกดปุ่ม Reset อีกครั้ง

     หลังวิกฤติโควิด-19 (หรือขณะที่คุณกำลังอ่านบทความนี้) ไม่ว่าจะยากดีมีจนแค่ไหน คนส่วนใหญ่ล้วนต้องเผชิญกับชีวิตที่ยากลำบากขึ้นกว่าเดิมไม่ทางตรงก็ทางอ้อม สำหรับคนทั่วไปจะเริ่มมองเห็น ‘ความจำเป็น’ ที่มัน ‘จำเป็นจริงๆ’ จากช่วงเวลาที่ผ่านมานี่แหละ ก่อนหน้านี้คุณอาจมองว่าการเดินช็อปปิ้งเสื้อผ้าหมดเงินพันกว่าบาทถือเป็นเรื่องปกติ แต่ตอนนี้ทุกคนอาจเรียนรู้ว่านั่นไม่ใช่สิ่งจำเป็น ในทางตรงกันข้าม คุณยอมจ่ายเงินเป็นพันเพื่อซื้อหน้ากากอนามัย เจลล้างมือ และผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อโรคต่างๆ เพราะไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ทำให้เรามองเห็นว่าโรคภัยไข้เจ็บเป็นเรื่องใกล้ตัวและน่าสะพรึงกลัวกว่าที่คาดคิด

     หลายปีก่อนเกิดวิกฤติโควิด-19 ทุกคนรู้ดีว่าเป็นยุค Technology Disruption เราเริ่มปรับรูปแบบชีวิตให้ออนไลน์มากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งธุรกรรมทางการเงิน การเสพความบันเทิง การช็อปปิ้งออนไลน์ หรือการใช้บริการส่งอาหารถึงบ้าน แต่โรคโควิด-19 คือการตอกย้ำและชี้ชัดว่า ‘คุณต้องเปลี่ยนเดี๋ยวนี้’ ไม่งั้นไปไม่รอด ไม่งั้นอยู่ไม่ได้ เพราะโลกจะไม่หมุนกลับมาที่เดิมแล้ว

     คอนเฟิร์มว่าหลายธุรกิจจะหันมาใช้นวัตกรรมหุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์ (AI) แทนแรงงานคนมากขึ้นเรื่อยๆ ตัวอย่างที่เห็นชัดคือพนักงานธนาคาร แคชเชียร์ โอเปอเรเตอร์ เนื่องจากวิกฤติของโรคระบาดแสดงให้เจ้าของธุรกิจเห็นว่ามนุษย์สามารถติดไวรัสและเจ็บป่วยได้ แต่เครื่องจักรกลไม่ป่วย หากเสียก็ซ่อมได้ ดังนั้นนี่จึงเป็นโอกาสเหมาะในการลงทุนครั้งใหญ่ เพื่อเตรียมรับมือกับโรคอุบัติใหม่ในอนาคตซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ไม่ยาก

     นับจากนี้ประเทศไทยและประเทศอื่นๆ ต้องปรับตัวให้เป็น Digital Nation เต็มตัว (อาจเป็นเรื่องยากแต่ก็ต้องค่อยๆ ปรับไป) กล่าวคือรัฐบาลต้องใช้เทคโนโลยีดิจิทัลให้เป็นประโยชน์แก่ประชาชนมากที่สุด นับตั้งแต่การติดต่อราชการที่ไม่ต้องเดินทางมาด้วยตัวเอง แต่สามารถสื่อสารแบบออนไลน์ได้ ไปจนถึงปรับเปลี่ยนวิธีการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนให้ใช้เงินสดน้อยลง แต่หันมาใช้การจ่ายผ่านระบบออนไลน์แทน บางประเทศที่เป็นประเทศดิจิทัลเต็มตัวอย่างเช่นเอสโตเนีย มีการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งออนไลน์ จัดการเรียนการสอนแบบออนไลน์ และบริการสาธารณสุขราว 99 เปอร์เซ็นต์สามารถเข้าถึงผ่านทางเว็บไซต์ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

     สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ รัฐบาลต้องวางรากฐานสิทธิการเข้าถึงถึงอินเทอร์เน็ตสู่ประชาชนทั่วทุกหนแห่ง จากรายงานของ We are Social/Hootsuite เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2020 ระบุว่ามีคนไทยที่ใช้อินเทอร์เน็ตในปัจจุบันราว 52 ล้านคน (75 เปอร์เซ็นต์ของประชากรทั่วประเทศ) ซึ่งหากดูจากตัวเลขแล้วถือว่าไม่น้อย แต่หากจะผลักดันประเทศเข้าสู่ยุคดิจิทัลแบบเต็มตัว ประชาชนทุกคนต้องเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ไม่ว่าจะอยู่ในถิ่นทุรกันดารแค่ไหนก็ตาม

นับจากนี้ประเทศไทยและประเทศอื่นๆ ต้องปรับตัวให้เป็น Digital Nation เต็มตัว กล่าวคือรัฐบาลต้องใช้เทคโนโลยีดิจิทัลให้เป็นประโยชน์แก่ประชาชนมากที่สุด

     แน่นอนว่าธุรกิจต่างๆ ที่เป็นออนไลน์จะเติบโตยิ่งขึ้นไปอีกในอนาคต พิสูจน์ได้จากช่วงวิกฤติโควิด-19 ธุรกิจสั่งอาหารออนไลน์เติบโตกันแบบก้าวกระโดด หรือเว็บไซต์ขายสินค้าออนไลน์ยักษ์ใหญ่อย่าง Amazon ก็ต้องรับคนงานเพิ่มถึง 175,000 คนเพื่อทำการจัดส่งสินค้าในช่วงทุกคนกักตัวอยู่บ้าน หุ้นของ Amazon เองก็พุ่งขึ้นสูงกว่า 5 เปอร์เซ็นต์ นั่นเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าไม่ว่าคุณจะทำธุรกิจอะไรก็ตามต้องคำนึงถึงด้านออนไลน์ด้วย ไม่ว่าจะเป็นการให้บริการหรือขายสินค้า ร้านกาแฟหลายร้านที่เคยขายเฉพาะที่ร้านเท่านั้นก็หันมาเพิ่มบริการส่งถึงบ้านในช่วงที่ผ่านมา และนั่นหมายความว่าเมื่อโรคระบาดยุติลง แม้คุณจะกลับมาเปิดร้านขายได้ดังเดิม คุณก็ควรจะมีบริการนี้ต่อไปเรื่อยๆ เช่นเดียวกับบริการอื่นๆ ที่ไม่เคยมีออนไลน์เกิดขึ้นก็มี อย่างเช่นคลาสเรียนออนไลน์ และเทรนเนอร์ออนไลน์

     แน่นอนว่าเมื่อเกิดโรคระบาด ทุกคนจะเริ่มตระหนักและให้ความสำคัญกับสุขภาพมากขึ้น ธุรกิจด้านสุขภาพจึงเติบโตทำเงินและน่าจะเป็นเช่นนี้ไปอีกเรื่อยๆ ในช่วงที่ผ่านมาผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดฆ่าเชื้อโรคหลายประเภทขายดิบขายดีจนขาดตลาด อย่างผลวิจัยของ Arizton คาดการณ์ว่าในปีนี้ตลาดเจลล้างมือทั่วโลกจะเติบโตขึ้นถึง 600 เปอร์เซ็นต์ และทำเงินได้ราว 11 พันล้านเหรียญสหรัฐ และถึงแม้ว่าการระบาดขอโรคโควิด-19 จะจบลงแล้ว ก็คาดว่าเจลล้างมือและผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อโรคจะกลายเป็นของใช้ประจำบ้านที่จำเป็นไปโดยปริยาย เช่นเดียวกับธุรกิจการให้บริการทางการแพทย์ก็น่าจะเฟื่องฟูขึ้นอย่างแน่นอน ที่สำคัญหลายโรงพยาบาล หลายคลินิก เริ่มหันมาให้บริการแพทย์ออนไลน์มากขึ้นเรื่อยๆ และน่าจะกลายเป็นเรื่องปกติในอนาคตอันใกล้

     อีกหนึ่งความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับชีวิตคนส่วนใหญ่โดยเฉพาะบรรดามนุษย์ออฟฟิศทั้งหลาย คือการทำงานที่บ้าน หรือ Work From Home จากทีแรกที่อาจจะตะกุกตะกัก ไม่คุ้นชิน แต่เมื่อเวลาผ่านพ้นไปนับเดือนหลายคนหลายบริษัทก็เริ่มปรับตัวได้ จนบางธุรกิจอาจมองเห็นว่าการเช่าออฟฟิศไม่ใช่เรื่องจำเป็นอีกต่อไป อาจส่งผลให้หลายบริษัทเลิกเช่าพื้นที่สำนักงาน หรือลดพื้นให้เหลือน้อยลงกว่าเดิม เฉพาะแผนกที่จำเป็น หรือออกแบบออฟฟิศให้เป็นพื้นที่ส่วนกลาง ไม่มีโต๊ะของใครของมัน ทุกคนสามารถผลัดเปลี่ยนกันเข้ามาใช้พื้นที่ในออฟฟิศตามวันที่กำหนด วิธีการนี้สามารถลดค่าใช้จ่ายต่อเดือนได้มากทีเดียว

     เมื่อวิถีการทำงานของผู้คนเริ่มเปลี่ยนไป จากการเข้าออฟฟิศทุกวันมาเป็นการทำงานที่บ้านเป็นส่วนใหญ่ ความต้องการเป็นเจ้าของคอนโดมิเนียมห้องเล็กๆ ติดรถไฟฟ้าในราคา 3-5 ล้านบาทก็อาจน้อยลงตามไปด้วย ผู้คนอาจหันไปอยู่อาศัยในย่านชานเมืองมากขึ้นเพื่อแลกกับการได้บ้านหรือคอนโดฯ ที่มีพื้นที่กว้างขวางสำหรับใช้เป็นที่ทำงาน นั่นจึงส่งผลให้โครงการบ้านและคอนโดฯ ต้องหันมาใส่ใจการจัดสรรพื้นที่ทำงานด้วยเช่นกัน ผลที่ตามมาคือสำนักงานให้เช่าเพื่อจัดทำเป็นออฟฟิศก็อาจไม่เฟื่องฟูเหมือนเดิม เมื่อผู้คนสามารถทำงานจากที่ใดก็ได้ ขณะเดียวกันธุรกิจ Co-Working Space น่าจะได้รับความนิยมมากขึ้น สำหรับใช้เป็นพื้นที่ทำงาน ประชุม หรือเจรจาธุรกิจโรคโควิด-19 คร่ามนุษย์หลายชีวิตทั่วโลก แต่ในขณะเดียวกันเจ้าไวรัสร้ายนี้ก็เสมือนเป็นปุ่มกดรีเซ็ตทุกอย่างใหม่หมด โดยเฉพาะแนวคิดในการทำธุรกิจในยุคดิจิทัล การต้องกักตัวอยู่บ้านนานนับเดือนกลายเป็นบททดสอบสำคัญที่ทำให้เราค้นพบและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ด้วยตัวคุณเอง

แหล่งที่มา https://www.gqthailand.com/views/article/what-makes-a-great-work-culture

Add Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *