เรื่องราวของคราฟต์เบียร์สัญชาติไทยกลายเป็นประเด็นร้อนแรงทันทีตั้งแต่ต้นปีเป็นต้นมา หลังจากผู้ผลิตรายหนึ่งถูกจับ ทำให้กระแสของคราฟต์เบียร์ไหลบ่าเรื่อยมา และทำท่าจะไม่จบง่ายๆ ตรงกันข้ามพรายฟองกลับฟูฟ่องขึ้นเรื่อยๆ สังเกตได้ง่ายๆ ว่าหลังการจับกุมดังกล่าว ผมได้รับเชิญไปร่วมงานเกี่ยวกับคราฟต์เบียร์ถี่ขึ้นเรื่อยๆ ครับ

          และไม่ใช่แค่ผม ร้านอาหารหลายแห่งก็เพิ่มพื้นที่ให้กับคราฟต์เบียร์ กระทั่งโรงแรมหลายแห่งที่ไม่เคยมองคราฟต์เบียร์ เพราะถูกครอบงำจากเบียร์ใหญ่ ตอนนี้ก็เริ่มมีคราฟต์เบียร์หลายยี่ห้อขึ้น แอบเจ็บจี๊ดที่ติ่งหัวใจนิดๆ เพราะทั้งหมดล้วนเป็นคราฟต์เบียร์ไทย แต่ผลิตในต่างประเทศ เหตุผลง่ายๆ ก็แค่คราฟต์เบียร์เป็นสิ่งผิดกฎหมายในเมืองไทย

          เรื่องราวความเป็นมาของคราฟต์เบียร์นั้นเริ่มเป็นที่รู้จักในบ้านเราเมื่อประมาณ 5 – 6 ปีที่แล้ว จากคราฟต์เบียร์เป็นขวดนำเข้า ภายหลังจึงมีการต้มเบียร์ดื่มและแลกเปลี่ยนกันในกลุ่มคนรักเบียร์ ที่ถือว่าจุดประกายคือ Chit Beer บนเกาะเกร็ด เปิดตัวในปี 2512 หลังจากนั้น 2 – 3 ปีผ่านมาคราฟต์เบียร์ไทยจึงเป็นที่รู้จักกันมากขึ้น แม้นิยามและความหมายของคราฟต์เบียร์จะยังไม่ชัดเจนในความเข้าใจของสังคม

          นิยามอย่างเป็นทางการของคราฟต์เบียร์โดย Brewers Association ของสหรัฐฯ ระบุว่า 1. ต้องเป็นโรงเบียร์ที่เป็นอิสระจากผู้ผลิตรายใหญ่ 2. ผลผลิตไม่เกิน 6 ล้านบาร์เรลต่อปี 3.ใช้วัตถุดิบที่เป็นธรรมชาติทั้งหมด เช่น มอลต์ บาร์เลย์ ฮอปส์ ห้ามใส่วัตถุดิบสังเคราะห์กลิ่นหรือรสเพื่อลดต้นทุน แต่ถ้าจะใส่ต้องใส่เพื่อให้รสชาติดีขึ้นเท่านั้น 

          ส่วนในบ้านเราอ้างอิงจากเพจ ‘Beercyclopedia สารานุกรมของคนชอบเบียร์’ ระบุว่า การจะเรียกตัวเองเป็นคราฟต์เบียร์ต้องมีองค์ประกอบ 3 อย่างคือ 1. ผลิตในจำนวนน้อยและมีโรงงานขนาดเล็ก (Small) ซึ่งผู้ผลิตสามารถควบคุมและใส่ใจในขั้นตอนการผลิตได้ทั้งระบบ 2. เป็นอิสระ (Independent) ผู้ก่อตั้งจะต้องถือหุ้นเกินกว่า 75 เปอร์เซ็นต์เพื่อให้มีอำนาจสิทธิ์ขาดในการตัดสินใจ และ 3. การไม่ลืมวัฒนธรรมและวิธีการดั้งเดิม (Traditional) ของความเป็นเบียร์ที่ต้องใช้ส่วนผสมจริง คือ มอลต์ ฮอปส์ ยีสต์ และน้ำ ไม่ใช่ใส่ส่วนผสมอื่นแทนส่วนผสมหลักเพื่อลดต้นทุน    

          แม้จะผิดกฎหมาย แต่เชื่อหรือไม่ว่าปี 2559 มีการประเมินว่ามูลค่าทางการตลาดของคราฟต์เบียร์ไทยอยู่ที่ประมาณ 35 ล้านบาท จากทั้งหมดประมาณ 60 ยี่ห้อ ทั้งชนิดที่ถูกและผิดกฎหมาย โดยถูกกฎหมายคือผลิตในต่างประเทศแล้วนำเข้ามาโดยเสียภาษีถูกต้อง การทำแบบนี้ทำให้เงินรั่วไหลออกนอกประเทศปีละกว่า 50 ล้านบาท ที่สำคัญในปี2560  นี้มีการประเมินว่ามูลค่ารวมของคราฟต์เบียร์ไทยจะสูงกว่า 200 ล้านบาท

          อย่างไรก็ตาม สิ่งที่หลายฝ่ายเป็นห่วงและอาจไม่กล้าดื่มคราฟต์เบียร์คือ ‘คุณภาพ’ แม้แต่นายกรัฐมนตรียังเป็นห่วงเมื่อถูกนักข่าวถาม ซึ่งผู้ผลิตคราฟต์เบียร์ด้วยกันเองก็รู้ดีว่าใครทำอะไร และอย่างไร?  ผมชิมคราฟต์เบียร์พวกนี้หลายยี่ห้อ บางยี่ห้อก็พบว่าคุณภาพไม่ได้เป็นไปตามที่กล่าวอ้าง บางยี่ห้อใช้แผนการตลาดและระบบโซเชียลเข้ามาช่วยทำให้เกินจริง และคนที่ไม่รู้หลงเชื่อ ซึ่งเป็นเรื่องที่อันตรายจนอาจถึงขั้นทำลายวงการคราฟต์เบียร์ได้ และเกี่ยวเนื่องไปถึงความพยายามทำให้ ‘ถูกกฎหมาย’  

          การ ‘ไม่ถูกกฎหมาย’ ถือเป็นอุปสรรคสำคัญของคราฟต์เบียร์ไทย ด้วยปัจจัยหลายๆ อย่าง หนทางที่สามารถทำให้ถูกกฎหมายคือไปผลิตในต่างประเทศแล้วส่งเข้ามาขายในเมืองไทย ปัจจุบันมี 8 รายไปผลิตในต่างประเทศ โดยผลิตที่ออสเตรเลีย, กัมพูชา, เวียดนาม, ไต้หวัน เเละญี่ปุ่น โดยชาละวัน (Chalawan) เป็นคราฟต์เบียร์ไทยถูกกฎหมายเจ้าแรกของเมืองไทย 

          ขณะที่วิชิต ซ้ายเกล้า ผู้ผลิตคราฟต์เบียร์รายแรกๆ ในเมืองไทย ผู้ก่อตั้ง Chit Beer บนเกาะเกร็ด และหุ้นส่วนเบียร์ Stone Head ซึ่งผลิตที่เกาะกงในกัมพูชา เลือกเส้นทางใหม่ด้วยการสร้าง ‘โรงเบียร์มิตรสัมพันธ์’ ย่านติวานนท์ ในรูปแบบ Brew Pub ถูกต้องตามกฎหมาย ต้องการให้เป็นพื้นที่สำหรับคนทำเบียร์ใต้ดิน ได้ต้มและจำหน่ายเบียร์ภายใต้กฎหมายว่าด้วยโรงเบียร์ขนาดเล็ก ตั้งเป้าว่าจะเปิดบริการกลางปี 2560 นี้

          ในแวดวงผู้ผลิตคราฟต์เบียร์บอกว่าปี 2560 นี้จะเป็นปีทองของคราฟต์เบียร์ไทย ที่สำคัญอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของการแก้กฎหมายซะทีครับ

Add Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *