ระหว่างรอให้วงการร้านอาหารในบ้านเราได้กลับมาฟื้นตัวกันอีกครั้ง หลังจากต้องเผชิญหน้ากับความไม่แน่นอนเกือบตลอดทั้งปี เราจึงขอพาไปทำความรู้จักกับร้านมิราซูร์ (Mirazur) ร้านอาหารแถบเฟรนช์ ริเวียรา (French Riviera) แห่งนี้ ว่าหน้าตาของอาหารจะพิเศษขนาดไหน ความสวยงามของร้าน ความเก่งของเชฟ และองค์ประกอบที่ทำให้ได้ชื่อว่าเป็นร้านอาหารที่ดีที่สุดในโลกขณะนี้
เริ่มตั้งแต่ก้าวเข้ามาในอาคารทรงแปดเหลี่ยม บนเนินเขาหัวมุมถนนอริสไทด์ บรียานด์ (Aristide Briand) กระจกใสบานใหญ่ที่เผยให้เห็นวิวของชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทางตอนใต้ของประเทศฝรั่งเศส ในย่านมองตง (Menton) ของโกตดาซูร์ (Côte d’Azur) ติดกับชายแดนประเทศอิตาลี ทำให้วิวจากโต๊ะอาหารสามารถมองเห็นได้ตั้งแต่ท่าเรือมองตง แกราวอง (Port de Menton Garavan) พร้อมอาคารบ้านเรือนที่เปี่ยมไปด้วยประวัติศาสตร์ของเมืองตากอากาศแห่งนี้ และยังมีวิวภูเขากับท้องฟ้าสีครามเป็นฉากหลัง
ด้วยภูมิอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียนทำให้สวนปลูกผักและผลไม้มีอยู่ทั่วไปในเมือง โดยเฉพาะพืชตระกูลซิตรัสอย่างเลมอน (Citron de Menton) กลายเป็นผลิตผลขึ้นชื่อ รวมถึงในพื้นที่ร้านมิราซูร์ที่มีสวนเป็นของตัวเองด้วยเช่นกัน วัตถุดิบที่สดใหม่ส่งตรงจากสวนสู่ครัวเพียงไม่กี่ก้าวจึงกลายเป็นจุดเด่นของที่นี่ ประกอบกับทั้งวิวที่สวยสะกดทุกสายตา การบริการแบบเหนือมาตรฐานของทีมงาน และที่สำคัญอาหารที่ปรุงโดยเชฟเมาโร โคลาเกรกโค (Mauro Colagreco)
ภายในเวลาเพียงไม่กี่ปี ความสามารถของเชฟชาวอาร์เจนตินาผู้นี้ ก็ได้รับการยกย่องจนเป็นหนึ่งในเชฟคนสำคัญและทรงอิทธิพลมากที่สุดในโลก เขาเป็นผู้ที่ทำให้มิราซูร์กลายเป็นร้านอาหารที่ดีที่สุดในโลกจากการจัดอันดับของ The World’s 50 Best Restaurants ประจำปี 2019
จากจุดเริ่มต้นด้วยการย้ายมาฝรั่งเศสในปี 2001 พร้อมการร่วมงานกับเชฟระดับตำนานทั้งหลาย ไม่ว่าจะแบร์นาร์ ลุโซ (Bernard Loiseau) อเลน ดูกาส (Alain Ducasse) และอเลน ปาสซาร์ (Alain Passard) จนกระทั่งเขาตัดสินใจเปิดมิราซูร์ในปี 2006 พร้อมกับมิชลินสตาร์เป็นดวงแรกในปีเดียวกัน ตามมาด้วยดวงที่สองในปี 2012 และล่าสุดในปี 2019 และ 2021 กับการคว้ามิชลินสตาร์ 3 ดาวไปครอง
วัตถุดิบปรุงอาหารส่วนใหญ่ของร้านจะมาจากชาวประมงและเกษตรกรรายเล็กในเมืองมองตง รวมไปถึงสมุนไพรกับดอกไม้ที่กินได้กว่า 150 ชนิด จากสวนผักและผลไม้ของเขาเอง ประกอบกับแรงบันดาลใจจากทะเล สวน ภูเขา พร้อมกับภูมิหลังการปรุงอาหารแบบอิตาเลียน-ฝรั่งเศส และความเมดิเตอร์เรเนียน ทำให้อาหารทุกจานของโคลาเกรกโค ที่ทั้งรสชาติ ความสวยงามของสีและเท็กซ์เจอร์ สามารถตัดกันบนความลงตัวของสิ่งที่ต่างกัน
โดยหลังจากที่ร้านต้องปิดตัวเป็นเวลาสามเดือนในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่พวกเขาก็กลับมาเปิดทำการอีกครั้งเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา พร้อมกับเมนูใหม่ ‘Lunar Menu’ ที่ยังคงได้แรงบันดาลใจจากธรรมชาติรอบตัว ไปจนถึงพระจันทร์ที่ส่งผลกับวัฏจักรความเป็นไปของทุกสิ่งบนโลก ซึ่งจะแบ่งเมนูอาหารออกเป็น 4 จักรวาล (Universe) คือราก (Roots) ใบ (Leaves) ดอกไม้ (Flowers) และผลไม้ (Fruits) โดยแขกแต่ละคนจะได้รับประสบการณ์ที่แตกต่งกันออกไปในแต่ละวัน ขึ้นอยู่กับวัตถุดิบที่เปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาล สนนราคาอยู่ที่ 320 ยูโร (ประมาณ 12,494 บาท) สำหรับทั้งมื้อกลางวันและมื้อค่ำในรูปแบบ 9 คอร์ส
นอกจากร้านมิราซูร์แล้ว เชฟโคลาเกรกโคก็ได้ขยายอาณาจักรครอบคลุมทั้งแถบอเมริกาด้วย Florie’s ในไมอามี และฝั่งเอเชียด้วย AZUR ในปักกิ่ง Grill 58 ในมาเก๊า และ Côte by Mauro Colagreco ที่กรุงเทพ ณ โรงแรมคาเพลลา
แน่นอนว่าการจองโต๊ะคงไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะว่าคิวเต็มยาวไปถึงสิ้นปี นอกจากจะต้องมีดวงความไว กดวันที่หลุดจอง หรือรอ Waiting List ก็ยังต้องมาลุ้นว่าเราชาวไทยจะหลุดพ้นจากกลุ่มประเทศสีส้ม (Amber List Countries) ตามการประกาศจากรัฐบาลฝรั่งเศส ณ วันที่ 17 กรกฎาคม 2564 ให้เดินทางกันได้สะดวกอีกครั้งเมื่อไร
Restaurant Mirazur 30, Avenue Aristide Briand Menton, France mirazur.fr
แหล่งที่มา https://www.gqthailand.com/lifestyle/article/firefly-bar