ในช่วงเวลาที่สถานการณ์ประเทศไทยอยู่ในช่วงอึมครึม และพยายามฟื้นฟูประเทศให้กลับมาสู่ภาวะปกติโดยเร็ว สามารถคลี่คลายจากสถานการณ์โรคระบาดนั้น หลายคนน่าจะตกอยู่ในภาวะหดหู่ใจ ไม่มีกะจิตกะใจอยากทำงานหรืออยากทำอะไร ผมอยากแบ่งปันวิธีคิดเพื่อปรับให้สุขภาพจิตของเรายังคงเป็นบวกได้ ไม่แย่ลงไปตามสภาวะรอบข้าง ซึ่งนอกจากจะส่งผลดีต่อชีวิตประจำวันของเราแล้ว ยังส่งผลต่อชีวิตนักเทรด นักลงทุนอย่างผมหรือท่านอื่นๆ ด้วย

     การเดินหน้าของเส้นทางชีวิตกับเส้นทางการเทรด ที่จริงแล้วมีแก่นที่เหมือนกัน นั่นคือการยอมรับสิ่งที่จะเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ผมแบ่งวิธีคิดเป็น 2 ส่วนดังนี้

1. คิดบวกและยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน (Be Positive, Be Present)

     ชั่วโมงนี้ต้องยอมรับว่าข่าวร้ายที่สุด คือตัวเลขยอดผู้ติดเชื้อและยอดผู้เสียชีวิตรายวัน ที่มีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ เทคนิคการรับข่าวสารโดยที่จะไม่ทำให้เราจิตตกไปด้วย คือการปล่อยวาง ทำใจยอมรับครับ ว่าที่จริงแล้วเหตุการณ์เลวร้ายไม่ได้มีแค่ครั้งหรือสองครั้ง แต่จะมีอยู่คู่กับชีวิตของเราทุกคนตลอดไป จบข่าวนี้ ตัวเลขผู้ติดเชื้อลด แต่สุดท้ายชีวิตก็จะเจอข่าวเรื่องอื่นที่พร้อมจะมาสร้างความหวาดกลัวให้กับเรา

     หรือต่อให้มีแต่ข่าวดีมากๆ ข่าวดีรอบด้านรอบตัว เราเองก็จะคิดว่ามันดีเกินไป จนเกิดความวิตกกังวลขึ้นมาเองเช่นกัน 

     สุดท้ายเราต้องคิดไว้เสมอว่า ทุกอย่างสามารถแก้ไขได้ ต้องมีวันที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อลดลง ต้องมีวันที่ธุรกิจประเทศกลับมาเปิด ร้านอาหารกลับมานั่งรับประทานที่ร้านได้ตามปกติ โรงภาพยนตร์กลับมามีคนแน่นเต็มโรง การท่องเที่ยวกลับมามีนักท่องเที่ยวจำนวนมาก แน่นขนัด คนสามารถกลับมาใช้ชีวิตกันอย่างปกติ

     ความกลัว ความกังวลนั้น เกิดขึ้นมาจากปัญหาภายนอก ถ้าเราแก้ปัญหาจากภายนอกไม่ได้ ก็ให้หันมาแก้ไขที่ภายใน ดูว่าจิตใจของเรากำลังวิตก กำลังร้อนเกินกว่าเหตุไปหรือเปล่า สำหรับผมวิธีแก้ปัญหาภายในจิตใจที่คนส่วนใหญ่มองข้ามไปง่ายๆ เลย คือการเลิกสนใจครับ ปล่อยวางโลกที่หมุนอยู่ ปล่อยให้ปัญหามันคงอยู่แบบนั้น เราลองหยุดรับข่าว หยุดใช้โซเชียลมีเดีย ปิดทุกช่องทางออนไลน์ แล้วลองใช้ชีวิตออฟไลน์อย่างสมบูรณ์แบบดู อย่างน้อยอาทิตย์ละ 1 วัน หรืออาจกำหนดเป็นหลักชั่วโมงก่อนก็ได้ เช่น วันนี่เราจะงดโซเชียลฯ เป็นเวลา 4 ชั่วโมง ช่วง 16:00-20:00 น. เป็นต้น คุณจะพบว่ามันช่วยผ่อนคลายความตึงเครียด ความกังวลต่างๆ ได้มากกว่าที่คิด 

     การเสพสื่อมากจนเกินไป ทำให้อารมณ์เราอาจจะแปรปรวนมากกว่าปกติ ถ้าเรางด หรือเว้นเวลาบางช่วงที่ไม่จำเป็นได้ รอตัวเลขสรุปทีเดียว รอฟังผลลัพธ์ทีเดียว เหมือนตอนที่เราดูฟุตบอล แต่ลุ้นมากเกินไป แล้วตัดสินใจไม่ดู รอดูผลสรุปการแข่งขันตอนเช้า ซึ่งถ้านำมาปรับใช้กับการเทรดการลงทุน ก็ต้องบอกว่าอาจจะไม่ดูระหว่างวัน มาดูราคาสิ้นวันเลย หรืออาจดูน้อยลงระหว่างอาทิตย์ มาดูตอนสุดสัปดาห์เลย เป็นต้น

     ท้ายสุด เมื่อจิตใจปลอดโปร่งแล้ว เกิดความสงบ ผ่านช่วงเวลาความหวาดกลัว ความวิตกกังวลไปได้ เราก็จะสามารถกลับมาทำงานได้ ไม่ว่าจะเป็นการนั่งหาข้อมูลหุ้น การลงทุน การเทรดที่เราสนใจ หรือพอถึงเวลาเทรด เราก็สามารถเทรดออกมาได้ดีขึ้น ไม่กลัวตกรถ ไม่กลัวหุ้นลงลึก ไม่รีบขายเวลาหุ้นขึ้นเพราะกลัวกำไรหด “ยอมเป็นคนตกกระแสจากสิ่งเร้าภายนอก แต่รู้เท่าทันความสงบของจิตใจจากภายใน”

2. คิดบวกแล้วเปิดใจมองไปข้างหน้า (Be Positive, Be Forward Thinker)

     ข่าวสารที่เกิดขึ้นในแต่ละวันได้ส่งผลกระทบมาถึงโลกของการลงทุนมากพอกัน ไม่ว่าจะเป็นข่าวเรื่องการแพร่ของโรคระบาด หรือข่าวอื่นๆ ก็ตาม การที่ข่าวเข้ามาไวและตลาดรับไม่ทัน หรือเราปรับพอร์ตการเทรดไม่ทัน แน่นอนว่าย่อมต้องมีความผิดพลาดขึ้นในพอร์ตของเรา

     เวลาผิดพลาดจากการตัดสินใจลงทุนหนักๆ พร้อมสถานการณ์แบบนี้ ผมจะหยุดพัก ปล่อยวาง แล้วหันไปโฟกัสความสวยงามของชีวิต มองให้เห็นคุณค่าของสิ่งที่อยู่ตรงหน้า สิ่งที่เป็นปัจจุบันนั้นมันยังคงมีความสวยงามซ่อนอยู่เสมอ ไม่ว่าจะร้ายหรือดี เช้าวันพรุ่งนี้เราจะยังมีแสงแดดอุ่นๆ ของพระอาทิตย์ มีลมอ่อนๆ พัดมาให้รู้สึกสบายในยามเย็นเสมอ ที่จริงแล้วโลกไม่เคยหมุนเร็วขึ้นครับ ปัญหาที่เกิดแต่ละยุคสมัย ไม่เคยน่ากลัวขึ้นเลย โรคระบาดในอดีตก่อให้เกิดความสูญเสียมากกว่านี้หลายเท่า แต่จิตใจของคนเราต่างหากที่เปลี่ยนไป พร้อมกับวิถีชีวิตที่รวดเร็วเกินกว่าปกติจากการแพร่กระจายข่าวผ่านสื่อโซเชียลฯ ที่ไปค่อนข้างไว

     สื่งที่ผมทำ คือมองปัญหาที่เกิดขึ้น อะไรที่แก้ได้ก็แก้ แล้วมองไปข้างหน้าว่า สิ่งที่เกิดขึ้นจะเป็นอย่างไรต่อไป แล้วก็ไปเชื่อมโยงถึงพอร์ตการเทรด ว่าเราจะลดพอร์ตการลงทุนหุ้นกลุ่มไหน ถือเงินสดรอ เพื่อซื้อโอกาสเป็นสัดส่วนเท่าไรของพอร์ต ไว้รอซื้อหุ้นกลุ่มไหน ธุรกิจไหนต่อไป ล้มแล้วพลาดแล้ว อย่างไรก็ตาม มันเป็นอดีตไปแล้ว เราต้องลุกโดยไว ลุกขึ้นมาสู้ ขึ้นมาเริ่มใหม่โดยไว โอกาสมีอยู่เสมอรอบตัวเรา

     เราอาจต้องเผชิญกับโควิดระลอก 4 (Wave 4) หรือมากกว่านั้น แต่ถึงแม้ลมพายุจะแรง คลื่นลูกใหม่เตรียมจะพัดเข้ามา แต่ก็มั่นใจได้ครับ ว่าวันหนึ่งมันจะต้องสงบลง เมื่อเราตั้งสติให้อยู่กับปัจจุบันได้แล้ว ก็ถึงเวลามองต่อว่าหลังวิกฤตินี้ไปจะเกิดอะไรขึ้น วิธีง่ายๆ ถ้านึกไม่ออกก็ลองติดตามจากประเทศที่พ้นวิกฤตินี้ไปแล้ว อย่างเช่น สหรัฐอเมริกา สิ่งที่คุณและผมมั่นใจได้เลยว่าถ้าสถานการณ์บ้านเราวันนี้จบลง สิ่งที่จะเกิดเหมือนกับอเมริกาแน่นอนคือการเดินทางท่องเที่ยวจะกลับมาคึกคัก ร้านสะดวกซื้อ ร้านอาหาร ธุรกิจโรงแรมจะกลับมาดี แล้วเราจะเลือกลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้ดีไหม หรือจะคว้าโอกาสจากการฟื้นตัวครั้งนี้ได้อย่างไร ถ้าเปิดประเทศทันเวลาจริงก็มีโอกาส สิ่งที่เราควรคิดต่อก็คือเราจะจัดสรรเงินลงทุนอย่างไรให้เหมาะสม

     มนุษย์เราอยู่รอดมาได้ด้วยความหวังครับ ไม่มีใครตอบได้ว่าช่วงเวลาไหนเป็นช่วงที่ดีที่สุด ปีไหนจะเป็นปีดีที่สุด ผมเองก็ล้มเหลวมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า บนเส้นทางการลงทุนจากประสบการณ์ตรง สิ่งเดียวที่ผมมั่นใจได้ คือทุกครั้งที่เจอวิกฤติ ผมจะเจอโอกาสอยู่คู่กันเสมอ และ ‘โอกาส’ นี่เองที่จะเป็นของขวัญชิ้นใหญ่มอบให้กับผู้ที่คิดบวก ผู้ที่เตรียมตัวเตรียมใจพร้อมอยู่เสมอ

แหล่งที่มา https://www.gqthailand.com/lifestyle/article/specialist-never-use-ear-buds-tricks

Add Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *