การลงทุนในหุ้นกลับมาเป็นกระแสครั้งใหญ่ หลังจากที่บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ซึ่งเรารู้จักกันดีว่าเป็นบริษัทธุรกิจพลังงานอันดับหนึ่งของประเทศไทย ได้ทำการ Spin Off บริษัทลูก และกระจายหุ้นให้สิทธิ์ประชาชนทุกคนสามารถจองหุ้น OR (บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด มหาชน) ได้
โดย OR นี้ทำธุรกิจหลักคือสถานีบริการน้ำมันของ ปตท. และร้านกาแฟคาเฟ่ อเมซอน ซึ่งก็ทำให้นักลงทุนหน้าใหม่พอร์ตเขียวกันถ้วนหน้าตั้งแต่วันแรกที่เปิดเทรด เนื่องจากปิดที่ราคา 29.25 บาท เหนือจองกว่า 62.5 เปอร์เซ็นต์ และยังพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องไปที่ระดับราคาสูงสุดที่ 36.5 บาท หรือเหนือราคาจองกว่า 100 เปอร์เซ็นต์ จนหลายคนอยากจะออกจากงานมาเล่นหุ้น เทรดหุ้น หรือเป็นนักลงทุนเต็มตัวที่เรียกกันว่า ‘Full-Time Trader’ หรือ ‘Full-Time Investor’
แล้วสองอาชีพนี้ต่างกันอย่างไร?
Full-Time Trader คือเทรดเดอร์เต็มเวลา ผู้ที่ทำการซื้อขายหุ้นเน้นไปที่ระยะสั้นในลักษณะของการเก็งกำไรกินส่วนต่างราคา โดยทำการเทรดนี้เป็นอาชีพหลัก
Full-Time Investor คือนักลงทุนเต็มเวลา ผู้ที่ทำการลงทุนในหุ้นเน้นไปที่ระยะกลางหรือยาว หลักเดือนขึ้นไปถึงปี หรือหลายปี โดยทำการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของธุรกิจหุ้นนั้นๆ
about:blank
วันนี้ผมจึงได้เรียบเรียงสิ่งที่ทุกคนต้องมีก่อนที่จะออกมาเผชิญหน้ากับความเสี่ยง โดยถ่ายทอดมาจากประสบการณ์ตรงของผมเอง ก่อนที่จะตัดสินใจมาเป็นนักลงทุนกัน ดังนี้
1. เงินทุน
ข้อนี้เป็นจุดเริ่มต้นของทุกวงการ แต่เท่าไหร่ถึงจะพอดี? เรื่องนี้คงต้องดูที่ค่าใช้จ่ายรายปีของแต่ละคน ซึ่งเราควรแบ่งเงินทุนออกเป็น 2 ส่วน คือเงินทุนสำรองสำหรับค่าใช้จ่าย และเงินสำหรับลงทุน
ยกตัวอย่างตอนที่ผมทำงานประจำรายมีจ่ายต่อปีอยู่ที่ 600,000 บาท ผมแนะนำว่าเงินทุนสำรองควรเผื่อไว้ล่วงหน้าสัก 2 ปี ดังนั้นผมจะต้องมีเงินทุน 1,200,000 เก็บไว้สำหรับค่าใช้จ่าย
ขณะที่เงินลงทุนควรจะมี 1,000,000 บาท หรือมากกว่านั้น สำหรับผลตอบแทนของมือใหม่ในตลาดปีแรกๆ ผมแบ่งออกเป็น 2 เคส คือ
- Best-Case Scenario: ถ้าเราเข้ามาเจอช่วงตลาดดี Return เราอาจได้สูงถึง 20 เปอร์เซ็นต์ หรือมากกว่านั้น ถ้าเป็นเคสนี้ก็ลุยต่อครับ เก็บกำไรไว้ต่อยอดในปีถัดไป
- Worst-Case Scenario: ถ้าเข้ามาเจอในภาวะที่ตลาดแย่ Return ปีแรกเราอาจติดลบได้ ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งไม่ควรมากไปกว่านี้ ตรงนี้คุณควรที่จะขายตัดขาดทุนทั้งหมด แล้วหยุดเทรดสักระยะหนึ่ง หยุดดูตลาดไปเลย เพื่อทบทวนข้อผิดพลาดของตัวเอง ระหว่างนั้นก็ทำการบ้านให้หนักขึ้น พอเริ่มมีความมั่นใจแล้วค่อยกลับมาเทรดใหม่
2. วินัย
นักลงทุนก็คืออาชีพฟรีแลนซ์อย่างหนึ่ง ไม่มีกฎเกณฑ์ ไม่มีเจ้านาย ดังนั้น ‘วินัย’ จะเป็นตัวกำหนดเองว่าคุณจะทำอาชีพนี้ต่อไปได้นานแค่ไหน
- วินัยในการเรียนรู้ ข่าวสารใหม่ๆ, กราฟเทคนิค, พื้นฐานของบริษัท และศึกษาจากหนังสือที่เกี่ยวกับการลงทุน
- วินัยในการใช้เงิน เมื่อเราจัดสรรเงินแล้วก็อย่าใช้เงินทุนสำรองเกินตัวไปกับสิ่งที่ไม่จำเป็น เงินที่ได้กำไรจากการลงทุนก็เก็บสะสมให้ดี คนที่สำเร็จคือคนที่เข้าใจแก่นแท้ของการอดเปรี้ยวไว้กินหวาน
- วินัยในการใช้ชีวิต จากความอิสระที่มีมาก เรายังต้องใช้ชีวิตให้สมดุลด้วย ช่วงเริ่มต้นผมใช้เวลาวันละไม่ต่ำกว่า 8 ชั่วโมง ไปกับการศึกษาทุกองค์ประกอบ และในช่วงพักผมจะพักผ่อนให้เต็มที่ หาวิธีที่ใช่ในการผ่อนคลายอารณ์ของคุณ
3. เตรียมใจให้พร้อมรับความผิดหวัง
คุณอ่านไม่ผิดหรอกครับ ข้อนี้เป็นเครื่องเตือนใจสำหรับทุกคนในวงการ ไม่ว่าจะมือใหม่หรือมือเก่า ถึงจุดหนึ่งคุณอาจพิสูจน์ตัวเองได้แล้วว่าสามารถอยู่รอดได้จริง พร้อมกับความรู้สึกมั่นใจมากขึ้น แต่เชื่อเถอะครับว่า มันจะมีวันที่ดีและไม่ดีสลับกันไปเสมอ วันที่ดีก็เก็บความสุขให้มาก ส่วนวันที่ไม่ดีก็มีไว้ให้เรียนรู้ครับ
ชีวิตในตลาดหุ้นไม่ได้สวยหรู เรามีตลาดหุ้นเป็นนาย เป็นอาจารย์ และเป็นผู้คัดสรรเองว่าคุณจะเป็นผู้ที่อยู่รอดได้จริงไหม แต่ผมรับรองได้ว่าถ้าคุณผ่านการทดสอบได้สักระยะหนึ่ง ก็จะพบว่าตลาดหุ้นเป็นเหมือนสถานที่ที่ให้ได้ทุกสิ่ง ทั้งอิสรภาพ เงินทอง และควานมั่นคง ที่ซึ่งคุณอยากจะอยู่ไปตลอดชีวิต
แหล่งที่เรื่อง https://www.gqthailand.com/views/article/are-you-ready-to-take-the-risk