“We don’t have to engage in grand, heroic actions to participate in change. Small acts, when multiplied by millions of people, can transform the world.” โฮเวิร์ด ซินน์ (Howard Zinn) นักประวัติศาสตร์และนักเคลื่อนไหวทางสังคมกล่าวว่า “มนุษย์เรานั้นไม่ต้องทำอะไรยิ่งใหญ่มากมายหรอก ไม่ต้องแสดงความกล้าหาญเพื่อการเปลี่ยนแปลง เพียงแค่ทำสิ่งเล็กๆ น้อยๆ เมื่อคนหลายล้านคนช่วยกัน สิ่งนี้ต่างหากที่จะเปลี่ยนแปลงโลก”
คำกล่าวนี้พาให้ย้อนนึกถึงครั้งแรกในปี 2019 ที่ได้เห็นภาพและเสียงเล็กๆ เปี่ยมไปด้วยพลังยิ่งใหญ่ของเกรตา ธูนแบร์ก (Greta Thunberg) เด็กสาวชาวสวีเดนวัย 16 ปี (ในขณะนั้น) ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์เปิดการประชุมสหประชาชาติ ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก (Climate Action) ที่นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา โดยที่การประชุมครั้งนั้นกลับไร้เงาของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) รวมถึงผู้นำคนสำคัญของบราซิลและซาอุดีอาระเบีย
แต่นั่นก็ไม่ได้ทำลายความตั้งใจของเด็กสาวที่ต้องการยืนหยัดเพื่อเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ให้ดีขึ้น เธอกล่าวตำหนิผู้นำนานาชาติว่าพวกท่านกำลังทรยศต่อเยาวชน ขโมยความฝัน ความหวังของเด็กๆ ทั่วโลก กับการเพิกเฉยต่อปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศอันเลวร้ายที่กำลังคุกคามโลกใบนี้
จริงๆ แล้วพวกเรารณรงค์เรื่องภาวะโลกร้อน ทรัพยากรธรรมชาติ การปฏิบัติชีวิตประจำวันเพื่อความยั่งยืนมานานหลายสิบปี แต่มักจะถูกหยิกยกขึ้นมาพูดในช่วงระยะเวลาสั้นๆ เพื่อความโก้เก๋ แต่อีกด้านก็มีนักเคลื่อนไหวที่พยายามส่งเสียงเหล่านี้เรื่อยมา จวบจนเกิดคำถามมากมายกับการละเลยของผู้ใหญ่ของธุนแบร์ก ว่าจะปล่อยให้เด็กๆ อย่างพวกเธอและเด็กรุ่นหลังเติบโตมาเผชิญกับโลกที่กำลังจะพินาศได้อย่างไร ซึ่งข่าวของสาวน้อยผู้กล้าหาญได้ถูกตีแผ่ออกไปทั่วโลก จนสื่อมวลชนตั้งฉายาให้เป็น ‘Climate Icon’ นี่อาจจะเป็นแรงกระเพื่อมให้หลายธุรกิจเริ่มตื่นตัวเลยก็ว่าได้ เพราะตั้งแต่นั้นมาเราจะเห็นร้านรวงในหลายๆ แห่งของโลก พยายามลดการให้ถุงพลาสติก งดใช้หลอด รวมถึงบ้านเราเอง ความจริงเราควรจะทำสิ่งเล็กๆ เหล่านี้มาตั้งแต่ 30 ปีที่แล้วมิใช่หรือ?
เทรนด์รักษ์โลก สู่พฤติกรรมที่กำลังจะเปลี่ยนไปในยุคปัจจุบัน
คนรุ่นใหม่หรือเจนซี (Generation Z) ซึ่งเติบโตขึ้นมาท่ามกลางความผันผวน ต้องใช้ชีวิตอยู่กับความไม่แน่นอน ปัญหาที่ซับซ้อน (ไม่รวมสถานการณ์โรคระบาดที่พวกเขาต้องเผชิญอยู่ในปัจจุบัน) โดยเฉพาะปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม เช่น ภัยธรรมชาติ และภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงที่จะยิ่งเพิ่มความรุนแรงมากขึ้นทุกปี เราจะสังเกตได้ว่าคนเจนซีมีความห่วงและหวงอนาคตของตนเอง พวกเขากล้าแสดงออกและต้องการมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ เพื่ออนาคตที่ยั่งยืนในอีก 10 ปีข้างหน้า ที่พวกเขาหวังว่าจะปรากฏเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนขึ้น เราไม่อาจปฏิเสธได้ว่าการรับรู้ข่าวสารและข้อเท็จจริงเรื่องปัญหาสิ่งแวดล้อมได้ส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมการซื้อและบริโภคสินค้าที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมมากขึ้นกว่าเก่า คนรุ่นใหม่ค่อนข้างตื่นตัวกับเรื่องปัญหาสิ่งแวดล้อมและเริ่มสอดรับกับวิถีชีวิตแบบรักษ์โลกมากขึ้นเรื่อยๆ
คนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับเสื้อผ้า
สังเกตไหมว่า ปัจจุบันคนรุ่นใหม่หันมาใช้ถุงผ้ามากขึ้น แต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่มีคุณภาพ เพราะพวกเขาให้ความสำคัญกับการดูแลและซ่อมแซมเพื่อให้มีอายุการใช้งานยาวนานมากขึ้น โดยส่วนใหญ่จะเลือกลงทุนในเสื้อผ้าคุณภาพสูงเพื่อลดปัญหาการผลิตที่ล้นเกินจากอุตสาหกรรมสิ่งทออย่างเสื้อผ้าแฟชั่น (Fast Fashion)
ปฏิเสธไม่ได้ว่าในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา ฟาสต์แฟชั่นสร้างปรากฏการณ์เพิ่มยอดขายต่อหัวในประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างต่อเนื่อง เพราะมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบใหม่ เพิ่มคอลเล็กชั่นหลายครั้งต่อปี อีกทั้งยังกำหนดราคาที่ย่อมเยา จึงทำให้เสื้อผ้าประเภทนี้ล้าสมัยง่าย ยังไม่รวมถึงเนื้อผ้า การตัดเย็บด้อยคุณภาพ ที่ขายราคามือสองเหมือนแจกฟรี
มูลค่าของฟาสต์แฟชั่นนั้นหมุนเวียนระบบเศรษฐกิจโลกที่มีมูลค่าถึง 1.3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ อีกทั้งยังสร้างการจ้างงานกว่า 300 ล้านคน แต่หากมองไปถึงขั้นตอนการผลิต ทราบหรือไม่ว่าโรงงานสิ่งทอปล่อยมลพิษจากสารเคมี เช่น ก๊าซเรือนกระจก (GHG) ปริมาณพอๆ กับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ถึง1.2 พันล้านตันในปี 2015 ซึ่งอุตสาหกรรมสิ่งทอส่งผลกระทบโดยตรงต่อท้องถิ่น เช่น มีการปล่อยน้ำปนเปื้อนสารเคมีอันตรายเข้าสู่สิ่งแวดล้อม อย่างกระบวนการซักล้างทำความสะอาดเส้นใยผ้าก็พาไมโครไฟเบอร์ลงสู่แหล่งน้ำ กลายเป็นไมโครพลาสติกที่ปนเปื้อนเข้าสู่ห่วงโซ่อาหาร กระทบต่อการเกษตรกรรม เนื่องจากในแต่ละปีการซักล้างเสื้อผ้าใยสังเคราะห์จำพวกโพลีเอสเตอร์ ไนลอน หรืออะครีลิก ปล่อยไมโครไฟเบอร์ราว 5 แสนตันลงสู่แม่น้ำและมหาสมุทร
คนรุ่นใหม่เห็นว่าการหยุดทำร้ายธรรมชาตินำมาสู่ความยั่งยืน
รายงานจากองค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (World Meteorological Organization) หรือ WMO เผยว่า ระดับก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศพุ่งสูงทุบสถิติโลกเมื่อปี 2020 ที่ผ่านมา ไม่รวมกับปัญหาฝุ่นมลพิษ PM2.5 ขยะพลาสติกที่กองเท่าภูเขา ทั้งหมดนี้กำลังทำลายระบบนิเวศให้สูญสลายไป ดังนั้นความยั่งยืนจึงกลายเป็นประเด็นสําคัญที่คนรุ่นใหม่มีความกระตือรือร้นมากขึ้น ส่วนใหญ่ยังเชื่อว่าวิกฤติสภาพภูมิอากาศนั้นสามารถแก้ไขได้ แม้ทุกวันนี้จะแก้ไขได้ไม่ถึง 50 เปอร์เซ็นต์อย่างที่คาดการณ์ไว้ก็ตาม
นอกจากเครื่องแต่งกายที่พยายามใช้อย่างคุ้มค่าแล้ว ด้านการบริโภคอาหารก็สำคัญไม่แพ้กัน คนรุ่นใหม่หันมาศึกษาเรื่องการเพาะปลูกและการประกอบอาหารรับประทานจากอินเทอร์เน็ต ยูทูบ หรือรวมกลุ่มพูดคุยเกี่ยวกับเทรนด์รักษ์โลกมากขึ้น เช่น วิธีผลิตอาหาร เราจะเห็นหลายๆ บ้านดัดแปลงพื้นที่เล็กๆ ปลูกผัก หรือถนอมอาหารเก็บไว้รับประทาน จากนั้นก็แปรสภาพเศษอาหารเป็นปุ๋ยได้ด้วย
นอกจากนี้คนรุ่นใหม่ยังหันมารับประทานพืชผักมากขึ้น เพื่อลดก๊าซเรือนกระจกจากการทำปศุสัตว์ ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น นมจากพืชที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน ซึ่งมีกระบวนการผลิตจากความพยายามลดโลกร้อน เปลี่ยนจากการใช้นมผงที่ทำให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์หนาแน่นในอากาศถึง 3 กิโลกรัม ต่อลิตร มาเป็นการผลิตนมจากพืช อย่างนมข้าวโอ๊ตที่จะทำให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 0.9 กิโลกรัม ต่อลิตร เท่านั้น
ทั้งนี้ นมจากพืซจึงสร้างความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม เพราะผลิตจากวัตถุดิบธรรมชาติที่ทำให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศน้อยกว่า ประหยัดน้ำมากกว่าการผลิตน้ำนมทั่วไปที่ทำจากนมผง ยกตัวอย่างเช่น นมอัลมอนด์ต้องใช้น้ำ 120 ลิตร เพื่อให้ได้นม 1 แก้ว ในขณะที่นมถั่วเหลืองปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำกว่า ใช้น้ำน้อยกว่า ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว ถั่วเหลืองจะถูกนำไปใช้สำหรับเลี้ยงสัตว์ สรุปว่า นมข้าวโอ๊ตจึงเป็นตัวเลือกที่ดีในการผลิตนมจากพืช แม้จะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากกว่าการผลิตนมอัลมอนด์ แต่ก็ใช้ดินและน้ำน้อยกว่ามากนั่นเอง
ไม่จำเป็นต้องเป็นฮีโร่ แค่เริ่มต้นง่ายๆ ด้วยตัวเรา
อย่างที่ ดร.ซินน์ ได้กล่าวไว้ข้างต้น พวกเราไม่ใช่ซูเปอร์ฮีโร่ที่จะช่วยกอบกู้โลกได้เพียงไม่กี่วัน แต่หากเราลองหันไปมองรอบๆ ตัว จะพบว่ามีข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ นานาที่ผ่านกระบวนการผลิตต้องสูญเสียทรัพยากรมหาศาล พฤติกรรมที่ส่งผลต่อการเกิดมลภาวะเป็นพิษโดยไม่รู้ตัวจากกิจวัตรประจำวันของคนเรา ไม่ว่าจะเป็นตั้งแต่ตื่นนอน ดื่มกาแฟ ออกไปทำงาน จนถึงกลับบ้านพักผ่อนนั้น พวกเราต่างเป็นเปอร์เซ็นต์เล็กๆ ที่จะสามารถกำหนดชะตาอนาคตของโลกใบนี้
1. หนาวในเมืองร้อน… ทำอย่างไร?
เคยได้ยินเรื่องขำๆ ว่าคนไทยมักจะเปิดแอร์เย็นฉ่ำแล้วห่มผ้า บางคนก็ใส่เสื้อกันหนาว หรือประโคมแจ๊กเก็ตหลายชั้นนั่งเล่นอยู่ในห้องแอร์ที่มีอุณหภูมิต่ำกว่า 20 องศาเซลเซียส รู้หรือไม่ว่า 90 เปอร์เซ็นต์ของมนุษย์เรานั้นสามารถรักษาความอบอุ่นในร่างกายเพียงทำให้ศีรษะอบอุ่น ดังนั้นแค่มีหมวกไหมพรม ผ้าพันคอ เลือกเนื้อผ้าหนาพอดีๆ ก็สามารถทำให้เราหายหนาวมากกว่าการสวมเสื้อสเว็ตเตอร์หลายชั้นเลยทีเดียว
2. Work From Home ประหยัดพลังงานและเวลา
ประเทศไทยเริ่มรู้จักการทำงานจากบ้าน หรือ Work from Home ในช่วงเกิดสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 เมื่อปี 2020 ที่ผ่านมา แล้วก็ลากยาวมาจนถึงปัจจุบัน ความจริงแล้วในสหรัฐอเมริกามีการให้พนักงานบริษัททำงานที่บ้าน หรือทำงานจากที่ใดก็ได้ในโลกมาหลายปี โดยเริ่มจากสถานที่ใกล้ตัวก่อน การทำงานที่บ้านนั้นมีการแจกแจงถึงการประหยัดเวลาและพลังงานไว้อย่างที่เรานึกไม่ถึงเลยทีเดียว
- ปัจจุบันการทำงานจากบ้านเติบโตขึ้นในสหรัฐฯ ถึง 7.5 เปอร์เซ็นต์ และช่วยลดการลางานของพนักงาน
- จากการศึกษาพบว่าหากคน 1 ล้านคนทำงานอยู่บ้านจะช่วยลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 3 ล้านตัน ต่อปี
- ช่วยลดเวลาเดินทางไป-กลับจากบ้านและสถานที่ทำงานประมาณ 40 นาที ต่อวัน จะทำให้มีวันหยุดเพิ่มขึ้นถึง 2 สัปดาห์
- การทำงานจากบ้านช่วยลดอาหารเหลือที่ถูกทิ้งจนลืมในตู้เย็นของออฟฟิศ
- พนักงานจะไม่สามารถแอบงีบหลับระหว่างวันได้หากจัดตารางการทำงานเหมือนทำงานอยู่ออฟฟิศ เช่น เวลาทำงานช่วงเช้า เวลาอาหารกลางวัน พักเบรกช่วงบ่าย และเวลาเลิกงาน
3. งดกินเนื้อสัตว์ ลดโลกร้อนจริงหรือ?
ในขณะที่กระบวนการผลิตเนื้อสัตว์ต้องใช้พลังงานมากกว่าการทำเต้าหู้น้ำหนัก 1 ปอนด์ถึง 8 เท่า ดังนั้นการลดปริมาณการบริโภคเนื้อสัตว์นั้นสามารถช่วยลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และก๊าซมีเทนจากมูลสัตว์ซึ่งก๊าซทั้ง 2 ชนิดเป็นก๊าซเรือนกระจก ส่งผลกระทบต่อชั้นบรรยากาศโลก ซึ่งรังสีที่เกิดจากความร้อนจากดวงอาทิตย์ถูกก๊าซเรือนกระจกกักเก็บไว้ทำให้อุณหภูมิของโลกสูงขึ้น
- งดกินเนื้อสัตว์ 1 ปี จะสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้คนละ 1.5 ตัน ต่อปี
- ก๊าซมีเทนจากมูลสัตว์ทำให้เกิดภาวะโลกร้อนได้มากกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 21 เท่า
- กินอาหารสดดีกว่าอาหารแปรรูป เพื่อลดขั้นตอนการผลิตอาหารและการผลิตภาชนะบรรจุ
- กินพืชผักผลไม้ตามฤดูกาล ช่วยลดพลังงานในการผลิตฮอร์โมนหรือสารเคมีในการเพาะปลูก
- อาหารท้องถิ่นจะช่วยลดขั้นตอนในการขนส่ง ซึ่งรวมไปถึงการลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
- กินอาหารจากพืชประเภทถั่วเมล็ดแห้งและผลิตภัณฑ์ทดแทนเนื้อสัตว์
4. งดใช้ถุงพลาสติกหรือใช้ถุงพลาสติกวนไป แบบไหนดีกว่ากัน?
สังคมโลกเริ่มตื่นตัวเรื่องการลดใช้ถุงพลาสติกกันมานานพอสมควร แต่สำหรับบ้านเรานั้นค่อยๆ ลดการใช้ถุงพลาสติกอย่างชัดเจนช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา แม้แรกๆ จะมีการบ่นระงมว่า หากซื้ออาหารร้อนๆ อาหารแช่เย็น ผู้ประกอบการจะแก้ปัญหานี้อย่างไร เท่าที่เห็นก็จะมีอนุโลมบ้างหากซื้ออาหารที่ต้องรับประทานทันที สำหรับผู้ใหญ่อย่างแม่ๆ ของพวกเรา ก็ต้องปรับตัวกันพักใหญ่ เนื่องจากถุงพลาสติกที่ได้รับมา มักจะนำมาใช้วนหรือนำไปใส่ขยะอีกครั้ง ซึ่งเป็นการประหยัดในครัวเรือนที่ทำกันมานาน พอไม่ได้รับถุงพลาสติกจากซูเปอร์มาร์เก็ตเหมือนเคย ก็ต้องไปศึกษาการซื้อถุงขยะให้พอดีกับถังขยะในบ้านเสียแล้ว
นอกจากถุงพลาสติกแล้ว คอกาแฟทั้งหลายก็แอบหัวเสียไม่ใช่น้อย เนื่องจากหลอดกระดาษที่รับมาพร้อมกาแฟเย็น มักจะเปื่อยยุ่ยก่อนดื่มกาแฟหมด หรือทำให้กาแฟเปลี่ยนรสชาติไปบ้าง จึงทำให้แก้วในร้านกาแฟส่วนใหญ่ถูกออกแบบมาเพื่อยกดื่มจากฝาพลาสติกได้ทันที
ใช่… ฝาพลาสติก สังเกตได้ว่ารอบตัวเรายังมีสิ่งต่างๆ ที่ล้วนแล้วแต่มีพลาสติกเป็นส่วนประกอบ ไม่ใช่แค่ปัญหาถุงพลาสติกเท่านั้น อย่างไรก็ตาม มารู้จักเกร็ดเล็กๆ น้อยๆ ของถุงพลาสติกกันสักหน่อย
- ถุงพลาสติกน้ำหนัก 1 กิโลกรัม หรือ 1 ตัน ใช้น้ำมันดิบ 11 บาร์เรล หรือประมาณ 1,760 ลิตร
- ถุงพลาสติก 1 ใบ สามารถรีไซเคิลได้เพียง 1 เปอร์เซ็นต์ และใช้เวลาย่อยสลาย 5-1,000 ปี
- วัตถุดิบในการผลิตถุงพลาสติกคือก๊าซธรรมชาติและปิโตรเลียม
- ถุงพลาสติก 1 ใบสร้างมลภาวะในอากาศได้ 1.2 ปอนด์ (น้อยกว่ากระดาษราว 80 เปอร์เซ็นต์)
- ใช้พลังงานในการผลิตน้อยกว่ากระดาษ 40 เปอร์เซ็นต์ และใช้พลังงานรีไซเคิลน้อยกว่ากระดาษ 91 เปอร์เซ็นต์
- จำนวนถุงพลาสติก 3 เปอร์เซ็นต์ (ทั้งหมดในโลก) กลายเป็นขยะลอยน้ำที่ไหลลงทะเลไปอุดตันท้องวาฬและเต่าได้ง่าย
- ในแต่ละปีมีการผลิตถุงพลาสติก 5 แสนล้านถึง 1 หมื่นล้านชิ้น
- ถุงพลาสติกที่ผลิตใหม่จะถูกใช้ 2 ชิ้นภายใน 1 นาที
5. สำหรับคนที่งดรับถุงพลาสติก แต่รู้สึกดีที่ใช้ถุงกระดาษ
ในสหรัฐอเมริกามีรายงานว่า ในปี 1999 ต้นไม้ใหญ่จำนวน 14 ล้านต้นถูกตัดไปเพื่อทำถุงกระดาษ
- ถุงกระดาษน้ำหนัก 1,000 กิโลกรัม หรือ 1 ตัน ใช้ต้นไม้ผลิตถึง 17 ต้น
- ถุงกระดาษ 1 ใบ รีไซเคิลได้ 20 เปอร์เซ็นต์ เพราะใช้ไม้ ปีโตรเลียม และถ่านหินในการผลิต
- สามารถย่อยสลายทางชีวภาพได้ใน 1 เดือน หากออกแบบหลุมฝังกลบได้ดี แต่หากปล่อยทิ้งไว้ ก็อาจจะต้องใช้เวลาในการย่อยสลายพอๆ กับพลาสติก
- หากเผาถุงกระดาษ 1 ใบ จะสร้างมลภาวะทางอากาศได้ 5.75 ปอนด์ เพราะต้องใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในการทำลายและเกิดมลภาวะทางน้ำมากกว่าพลาสติกอีกด้วย
ดังนั้น การใช้ถุงกระดาษก็ไม่ได้ช่วยลดโลกร้อนไปมากกว่าการใช้ถุงพลาสติก หากเราต้องใช้ในชีวิตประจำวันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แนะนำว่าให้ใช้ซ้ำๆ หรือพกถุงผ้าติดกระเป๋าทำงานไว้ อย่างน้อยเราลดการใช้ถุงพลาสติก ถุงกระดาษ 1 วัน พร้อมกัน 10 ล้านคนทั่วโลก ก็สามารถลดจำนวนขยะพลาสติกมากถึง 10 ล้านชิ้น ต่อวัน เลยทีเดียว
แหล่งที่มา https://www.gqthailand.com/views/article/what-makes-a-great-work-culture
- July 22, 2022
- 43
- 0
- Lifestyle